นนทบุรี 21 มิ.ย. – หลัง อคส. ให้บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด ยื่นความจำนงที่จะเพิ่มให้ราคาข้าวสารสตอกรัฐค้างเก่า 10 ปี จำนวน 15,000 ตัน จากที่ยื่นซองประมูลให้ราคาเฉลี่ย 19.07 บาท/กก. มียอดรวมกว่า 286 ล้านบาท แต่บริษัทได้ยื่นหนังสือแจ้งจะขอยืนราคาเดิมหรือเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ประกอบความไม่ชัดเจนที่มาของบริษัท อาจทำให้ อคส. จำเป็นต้องตัดบริษัทนี้ออก แล้วเร่งต่อรองราคารายอื่นให้ได้สูงขึ้นภายในต้นสัปดาห์หน้า
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า มีความเป็นไปได้สูงที่องค์การคลังสินค้าหรือ อคส. จะตัดสิทธิ บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด แม้จะเป็นผู้เสนอราคาข้าวสารสตอกรัฐ 10 ปี จำนวน 15,000 ตัน สูงกว่ารายอื่น โดยให้ 19.07 บาท/กก. หรือมีเม็ดเงินรวม 286 ล้านบาท หลังจากคณะกรรมการต่อรองราคาของ อคส. ได้พยายามต่อรองราคามาอย่างต่อเนื่อง กับบริษัทวีเอทตลอดสัปดาห์ แต่ทางบริษัทวีเอทยืนยันจะขอให้ราคาเดิม คือ 19.07 บาท/กก. และอาจจะขอเพิ่มให้เล็กน้อย หากภาครัฐไม่เอาราคาที่ทางบริษัทวีเอทยื่นยืนยันไปก็พร้อมที่จะให้ อคส. เรียกรายอื่นมาเจรจาได้ รวมทั้งความไม่ชัดเจนของบริษัทวีเอท แม้จะมีบริษัทพันธมิตร เป็นผู้ค้าข้าวแต่ในดำเนินกิจการของบริษัทวีเอท จะเกี่ยวข้องกับธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง ดังนั้น เป็นไปได้สูงที่ อคส. จะตัดสิทธิบริษัทวีเอทไม่ได้รับเป็นผู้ชนะประมูลข้าวภาครัฐใครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ทำให้ในวันนี้ (21 มิ.ย.) อคส. จึงไม่สามารถประกาศรายชื่อผู้ชนะประมูลข้าวรัฐสตอกนี้อย่างเป็นทางการ และขอให้เปิดการเจรจากับรายอื่นที่สามารถที่จะเพิ่มราคาข้าวสารจำนวนนี้ได้มากกว่าบริษัทวีเอท คือ ต้องให้ราคาได้มากกว่า 19.07 บาท/กก. คาดว่าภายในสัปดาห์ อคส. จะสามารถเจรจาต่อรองราคากับรายอื่นๆ ได้แล้วเสร็จ ซึ่งบริษัทที่จะเปิดเจรจาประกอบด้วย บริษัท สหธัญ จำกัด ที่เสนอราคาไว้ 18.69 บาท/กก. อันดับ 3 บริษัท ธนสรรไรซ์ จำกัด เสนอราคาไว้ 18.01 บาท/กก. และอันดับที่ 6 เสนอราคา 12.20 บาท/กก.
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าได้รับรางานจาก อคส. วันนี้ไม่สามารถประกาศรายชื่อผู้ชนะประมูลข้าวสตอกรัฐทัน เนื่องจากต้องการทำให้เกิดทุกขั้นตอนโปร่งใส โดยเฉพาะที่มาที่ไปของบริษัทวีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด ที่หลายฝ่ายยังมองว่าแม้ทุนจดทะเบียนไม่มาก แต่ยังกังวลว่าจะมีสภาพคล่องหรือเงินทุนหมุนเวียนจะมากพอกับวงเงินกว่า 286 ล้านบาทได้หรือไม่ ทำให้จึงต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดในเชิงลึกอีกครั้ง แต่ถึงขั้นจะผิดกฎหมายต่อการดำเนินธุรกิจหรือไม่นั้น ไม่อยากให้ทุกฝ่ายคิดกันไปมากให้ดูความเป็นจริง และได้มอบหมายให้ อคส. ไปทำการเจรจากับรายอื่นๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และหากสามารถประกาศได้ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ ทุกอย่างก็จะจบลง แต่หากยังเจรจาไม่แล้วเสร็จก็ให้เจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสมเพื่อจะได้จบโครงการดังกล่าวแบบสมบูรณ์ เพราะเมื่อ อคส. ประกาศรายชื่อผู้ชนะประมูลแล้ว คาดว่าตามขั้นตอนการทำสัญญาซื้อขายจะเสร็จสิ้นภายใน 30 วัน.-514-สำนักข่าวไทย