นครเจนีวา 13 ก.พ.-เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ณ นครเจนีวา เผย WTO คลอดแพคเกจสำหรับการประชุมรัฐมนตรีการค้าครั้งที่ 13 โดยไทย ให้ความสำคัญกับการเจรจาภาคเกษตรและอาหาร และการเจรจาเรื่องการอุดหนุนประมง เป็นลำดับแรก
นางพิมพ์ชนก พิตต์ฟีลด์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ณ นครเจนีวา เปิดเผยว่า ขณะนี้การเจรจาเพื่อเตรียมการประชุมรัฐมนตรีการค้าของ WTO ครั้งที่ 13 ที่จะมีขึ้นที่กรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 26-29 กุมภาพันธ์ 2567 ได้เข้มข้นขึ้นจนสามารถมีร่างปฏิญญารัฐมนตรีอาบูดาบี (Abu Dhabi Ministerial Declaration) ออกมาเป็นกรอบแล้ว พร้อมกับร่างความตกลงอีก 2 เรื่องสำคัญ คือความตกลงเรื่องเกษตร และความตกลงเรื่องการอุดหนุนประมงภาคสอง แต่ทุกเรื่องยังต้องเจรจาในรายละเอียดต่ออีกมากกว่าจะไปถึงอาบูดาบีในช่วงปลายเดือน
ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 ประเทศสมาชิก WTO ได้เริ่มสรุปผลการเจรจาหลายเรื่องต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าครั้งที่ 12 ที่จะรวมไว้ในปฏิญญารัฐมนตรี รวมทั้งหาท่าทีร่วมเพื่อยกร่างความตกลงเรื่องการปฏิรูปภาคเกษตรที่มีการเชื่อมโยงกับเรื่องความมั่นคงทางอาหาร และร่างความตกลงเรื่องการอุดหนุนประมงภาคสอง ซึ่งสองเรื่องนี้มีการเจรจามาอย่างยาวนาน มีท่าทีขัดแย้งกันและประเด็นซับซ้อนอ่อนไหวจำนวนมาก แต่ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาชิกก็ยอมรับร่างที่ประธานคณะเจรจาเสนอมาให้เป็นพื้นฐานการเจรจาได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องเกษตรและประมงแล้ว การประชุม MC13 จะมีประเด็นสำคัญอื่น เช่น (1) การสรุปผลการเข้าเป็นสมาชิก WTO ของติมอร์เลสเตและสหภาพคอโมโรส (2) การเจรจาเพื่อปฏิรูปกระบวนการระงับข้อพิพาทและองค์กร WTO (3) การพิจารณาการขยายอายุของการไม่เก็บอากรศุลกากรกับ electronic transmission (4) การหารือแนวทางที่ WTO จะดำเนินการเพื่อรองรับโควิดและโรคระบาดต่าง ๆ ในอนาคต (5) การหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาน้อย และ (6) การเพิ่มประเด็นเจรจาใหม่ ๆ เพื่อให้กฎเกณฑ์ WTO ทันต่อโลกสมัยใหม่ เช่น การทบทวนกฎเกณฑ์ WTO ให้เอื้อต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมและแก้ปัญหาโลกร้อน นโยบายการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม การพัฒนา MSMEs และการยกระดับบทบาทของสตรีในภาคเศรษฐกิจการค้า อีกทั้งยังน่าจะมีการประกาศความสำเร็จของการเจรจาหลายฝ่ายเรื่องการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน การดำเนินการด้านกฎระเบียบภายในของภาคบริการ
สำหรับประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการเจรจาภาคเกษตรและอาหาร และการเจรจาเรื่องการอุดหนุนประมง เป็นลำดับแรก เพราะเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมาก โดยในเรื่องเกษตรนั้นภายใต้บริหารของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ถือประสบความสำเร็จอย่างมากในการดูแลให้ราคาสินค้าเกษตรสำคัญในประเทศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากการรับตำแหน่ง แต่สถานะการแข่งขันของสินค้าเกษตรภายนอกประเทศยังมีความรุนแรงมาก โดยนโยบายอุดหนุนและการสำรองอาหารไว้มากเกินความจำเป็นของหลายประเทศ รวมไปถึงการออกมาตรการห้ามส่งออกของคู่ค้าสำคัญ ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่มีความเสถียร ทำให้ยากต่อการเตรียมการผลิตในปีต่อไป โดยเฉพาะประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรขนาดใหญ่เช่นอินเดีย ที่ประกาศห้ามส่งออกข้าวบางประเภท แต่กลับยอมให้ประเทศคู่ค้ามาขอเจรจายกเว้นเป็นประเทศ ๆ ไป และไม่แจ้งมาตรการต่อ WTO ซึ่งทำให้ไทยสูญเสียลูกค้าเดิมไปบางส่วน และไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับระยะเวลาการใช้มาตรการ ซึ่งมีแนวโน้มที่อินเดียจะใช้วิธีการนี้มากขึ้น
ทั้งนี้ ไทยต้องติดตามการเจรจาอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันไม่ให้เสียผลประโยชน์ในการส่งออกข้าวและสินค้าเกษตรอื่น และเพื่อรักษาตลาดส่งออกของไทยผ่านการเจรจาสร้างกฎเกณฑ์พหุภาคีที่เป็นธรรมมากที่สุด ในเรื่องการเจรจาการอุดหนุนประมงภาคสอง ที่เน้นเรื่องกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการอุดหนุนที่นำไปสู่การทำประมงที่เกินศักยภาพและเกินขนาด และการให้ความยืดหยุ่นแก่ประเทศกำลังพัฒนานั้น โดยรัฐบาลไทยกำลังอยู่ระหว่างการปรับทบทวนนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวเนื่องกับภาคประมงและชาวประมงทั้งหมด ท่าทีไทยในการเจรจาเรื่องดังกล่าวจึงเน้นดูให้สอดคล้องกับทิศทางของนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการทำประมงพื้นบ้าน และยกระดับมาตรฐานและการตรวจสอบ (traceability) ของสินค้าประมงไทยด้วยพร้อมกัน ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน
นอกจากเรื่องเกษตรและประมงที่มีรายละเอียดการเจรจาอ่อนไหวจำนวนมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ กลับมีประเด็นอ่อนไหวที่ไม่คาดคิดมาก่อนเกิดขึ้น คือ การเจรจาเกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่เมื่อเร็ว ๆ นี้ สหรัฐฯ ประกาศทบทวนนโยบายดิจิทัล พร้อมถอนข้อเสนอและท่าทีที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในประเด็นที่เกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูล (access to data) ในการเจรจาหลายฝ่าย และประเทศกำลังพัฒนาใหญ่ ๆ เรียกร้องให้กฎเกณฑ์ด้านการค้าดิจิตัลเปิดช่องให้กำหนดนโยบายภายในประเทศที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นเพราะทุกประเทศตระหนักถึงความสำคัญของเศรษฐกิจในอนาคตที่พึ่งพาการค้าผ่านสื่อ (digital trade) และเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมทั้งสิทธิความเป็นเจ้าของในตัวดิจิตัลคอนเทนต์ เช่น เพลง ภาพยนต์ คอนเสิร์ต หนังสือ แม้แต่สิทธิในเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องด้วย คาดว่าเรื่องนี้จะไปถึงมือรัฐมนตรีแน่นอน
สำหรับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้นว่า ในการเจรจาปัจจุบันยังไม่มีผลกระทบต่อ MC13 มากนัก ต่างจากการประชุมรัฐมนตรีครั้งก่อน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในหลายประเทศใหญ่ ๆ ปีนี้มากกว่า ที่ส่งผลให้แต่ละประเทศมีท่าทีที่แข็ง ไม่ยอมยืดหยุ่นง่าย เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย หรือสหภาพยุโรปที่กำลังเผชิญปัญหาการประท้วงโดยเกษตรกรและชาวนาในหลายประเทศ และสหรัฐฯ ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปลายปีนี้ ทำให้ไม่สามารถมีท่าทีที่ชัดเจนได้ในหลายเรื่อง เช่น การระงับข้อพิพาท พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น แต่ที่แน่นอนคือ สหรัฐฯ จะมีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน และมีแนวโน้มที่จะใช้มาตรการกีดกันการค้ามากขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการค้าระหว่างประเทศ
ส่วนการประชุมรัฐมนตรีการค้าครั้งที่ 13 ในปลายเดือนนี้ น่าจะมีข้อตกลงในเรื่องสำคัญ ๆ ได้ แต่อาจจะไม่ได้ครบทุกประเด็น รวมทั้งจะมีการวางรากฐานการเจรจาเรื่องใหม่ที่จะมีขึ้นต่อไปภายหลังการประชุม ที่สำคัญคือ เรื่องสิ่งแวดล้อม โลกร้อน นโยบายการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม การทบทวนการอุดหนุนสีเขียว และอาจมีเรื่องความมั่นคงกับการค้าด้วย ซึ่งต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด.-514-สำนักข่าวไทย