กรุงเทพฯ 4 ก.ย.-KCS วิเคราะห์TOP น้ำมันรั่วไหว มอง negativeคาดช่วง ประเมินทุกๆค่าใช้จ่าย 1 พันลบ. จะกระทบกำไร66-67 ราว 8-9%
บล.กรุงศรี พัฒนสิน(KCS) วิเคราะห์กรณีปัญหาน้ำมันรั่ว บมจ.ไทยออยล์( TOP)ว่าบริษัทมองเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินเครื่องโรงกลั่นน้ำมันของ TOP อย่างมีนัยสำคัญ และมีประกันคุ้มครองความเสียหายอันเกิดจากทรัพย์สินแลธุรกิจหยุดชะงัก ประกันการขนส่งสินค้าทางทะเล และ ฯลฯ เบื้องต้นบริษัทคาดปริมาณน้ำมันรั่วไหลราว50,000 – 100,000 ลิตร น้ำมันส่วนใหญ่ได้ถูกควบคุมไว้ที่จุดรั่วแล้ว และมีส่วนน้อยที่หลุดออกจากจุดกักกัน ซึ่งบริษัทจะใช้การฉีดสารเคมีเพื่อให้น้ำมันที่หลุดออกจากพื้นที่กักกันจมลงสู่ทะเลเพื่อเก็บกู้ ป้องกันไม่ให้กระจายเข้าฝั่ง/พื้นที่ท่องเที่ยวทางบริษัทมองสามารถใช้ทุ่น หมายเลข 1 (SBM-1) ที่มี capacity ใกล้เคียงกับ SBM-2 แทนได้ในช่วงที่ SBM-2 ยังต้องหยุดดำเนินการเพื่อตรวจสอบ (ยังไม่มีกำหนดระยะเวลา) รวมถึงมีทางเลือกสำรองหากกรณีที่ไม่สามารถใช้ทุ่น SBM-1 ได้ โดยใช้ CBM และ ผ่านท่าเรือของ PTT ทั้งนี้บริษัทมีชิ้นส่วนท่อสำรองสำหรับ SBM-2 ที่รั่ว(ท่อบนผิวน้ำ)
ปัจจุบันไทยออยล์มี stock น้ำมันดิบรองรับการผลิตราว 30 วัน ผู้บริหารมองช่วงเดือน ก.ย. 23 การกลั่นจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
โดยบริษัทมีประกันคุ้มครองผลกระทบต่อบุคคลที่ 3 วงเงินราว 50 ล้านบาท (deductable 1 หมื่นเหรียญ), คุ้มครองผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วงเงิน 25 ล้านบาท (deductable 1 ลบ), all risk คุ้มครอง property damage 255 ล้านบาท / สูญเสียน้ำมัน 761 ล้านบาท (deductable รวม 5 ลบ) และ business interruption 1,120 ล้านบาท(deductable 60 วัน)
KCS คาดตลาดกังวลผลกระทบในด้าน1.ค่าใช้จ่ายและคดีฟ้องร้อง (เหตุการณ์ SPM รั่วของ โรงกลั่น SPRC ได้มีการบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องไปราว 1.7 พันลบ. และยังมีคดีฟ้องร้องราว 7.7 พันลบ.)
2.ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากปรับการขนส่งน้ำมันทางเรือ หาก SBM-2 ไม่สามารถกลับมาใช้งานได้ เราประเมินทุกๆ 1 เดือนค่าใช้จ่ายขนส่งจะเพิ่มราว 300 ล้านบาท
3.ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องรับภาระที่ไม่สามารถให้ ESSO ใช้ทุ่นส่งน้ำมันได้ เบื้องต้นคาดราว 85-90 ล้านบาท./เดือน
ทั้งนี้ คาดในช่วง ครึ่งหลังปี65 TOP จะยังมีผล จากประเด็นน้ำมันดิบรั่วไหลข้างต้น ประเมินทุกๆค่าใช้จ่าย 1 พันลบ. จะกระทบกำไร 66-67 ราว 8-9% .-สำนักข่าวไทย