เร่งลงทุนโครงข่ายคมนาคม พลิกโฉมประเทศ

กรุงเทพฯ 12 ม.ค.- “ศักดิ์สยาม” ดันเม็ดเงินกว่า 1.2 แสนล้านบาท เร่งลงทุนโครงข่ายคมนาคมในปี 2566 หวังดันจีดีพีประเทศฟื้นตัว 2.35% เพิ่มขีดความสามารถพลิกโฉมประเทศ พร้อมกางแผนลุยโปรเจกต์ปีนี้ ครอบคลุมบก-น้ำ-ราง-อากาศ


นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานสัมมนา Seminar 2022 By Transport Journal และกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “THAILAND SEAMLESS : MOVING FORWARD & GO GREEN” มิติใหม่ “คมนาคม” ก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้รอยต่อ พร้อมด้วยนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม โดยหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมงานสัมมนา

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า จากนโยบายภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งมั่นพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และสามารถเชื่อมโยงการเดินทาง      ได้อย่างไร้รอยต่อ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สามารถเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 2 – 3 ปีที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในหลายมิติไปพร้อม ๆ กัน ทั้งทางถนน ราง น้ำ และอากาศ เพื่อให้โครงข่ายคมนาคมครอบคลุม เชื่อมต่อ เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนไทย พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ โดยกระทรวงฯ มีแผนที่จะลงทุนในอนาคตทั้งแผนระยะกลางและระยะยาว เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยมีความพร้อมสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการที่มีความสะดวก รวดเร็ว ตรงเวลา ราคาสมเหตุสมผล และสามารถเข้าถึงการบริการได้ง่ายและเท่าเทียม รวมถึงรูปแบบการพัฒนาต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม


ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศ ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ว่า ประเทศไทยมีเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) และจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608) ด้วยเป้าหมายดังกล่าว กระทรวงฯ จึงได้มุ่งมั่นพัฒนาระบบทางถนนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเร่งรัดการพัฒนาระบบขนส่งทางราง เพื่อให้เป็นรูปแบบการเดินทางหลักสำหรับการเดินทางของประชาชน และการขนส่งสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการการขนส่งทางน้ำ และการขยายท่าอากาศยานให้รองรับ การเดินทางทางอากาศได้มากขึ้น ซึ่งกระทรวงฯ ได้วางกรอบแนวทางการพัฒนาระบบการคมนาคมของไทยไปสู่อนาคต ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีโครงการสำคัญ ดังนี้

  1. โครงการแผนแม่บทการพัฒนา MR-Map ที่มุ่งเน้นการกระจายความเจริญไปในพื้นที่   ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยโครงข่าย MR-Map ประกอบด้วย โครงข่ายทางรถไฟและมอเตอร์เวย์ซึ่งมีการพัฒนา   อยู่ในพื้นที่เดียวกัน สำหรับการออกแบบแนวเส้นทาง MR-Map จะเป็นแนวตรงเพื่อลดระยะเวลาการเดินทาง ช่วยลดต้นทุนค่าขนส่ง ลดผลกระทบจากการเวนคืนที่ดิน และลดการแบ่งแยกชุมชนออกเป็นสองฝั่ง
  2. โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย – อันดามัน (Land Bridge) ซึ่งเป็นหนึ่งในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านคมนาคม เพื่อบูรณาการรูปแบบการขนส่งเชื่อมโยงสองฝั่งทะเลเป็นแบบท่าเรือเดียวเชื่อม 2 ฝั่ง (One Port Two Sides) และมีการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติมาช่วยในการดำเนินการ เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ ปัจจุบันโครงการฯ อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการลงทุน คาดว่าจะเสนอ ครม. ให้ความเห็นชอบในหลักการได้ภายในเดือนมกราคม 2566 โดยตามแผนจะเริ่มก่อสร้างในปี 2568 และจะก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมเปิดให้บริการในปี 2573
  3. การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางถนน กระทรวงฯ ได้ดำเนินการตามนโยบายสำเร็จเป็นรูปธรรมแล้ว อาทิ 1) การปรับความเร็วสูงสุดบนทางหลวงเป็นความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเส้นทางที่ได้มาตรฐานตามที่กฎกระทรวงกำหนด ปัจจุบันได้เปิดใช้งานแล้ว 11 สายทาง ระยะทางรวม 218 กิโลเมตร 2) การพัฒนานำระบบ M-Flow มาใช้ในการจัดเก็บค่าผ่านทาง โดยเป็นระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น ทำให้รถสามารถวิ่งผ่านด่านได้อย่างสะดวก คล่องตัว ไม่ต้องหยุด หรือชะลอรถ ช่วยแก้ปัญหารถติดบริเวณหน้าด่าน ปัจจุบันเปิดใช้งานแล้ว 4 ด่าน บนมอเตอร์เวย์ M9 โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กำลังขยายผลการพัฒนาระบบเพื่อใช้กับด่านบนทางพิเศษอีก 3 ด่าน ซึ่งจะเปิดให้บริการในปี 2566 3)

การพัฒนาโครงข่ายมอเตอร์เวย์เชื่อมโยงภูมิภาค อาทิ มอเตอร์เวย์M6 สายบางปะอิน – นครราชสีมา มอเตอร์เวย์ M81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี ทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ และมอเตอร์เวย์ M82 สายบางขุนเทียน – เอกชัย – บ้านแพ้ว 4) การพัฒนาโครงข่ายถนนสายใหม่ เชื่อมโยงภูมิภาคและประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ – บอลิคำไซ) จังหวัดบึงกาฬ และถนนแนวใหม่เชื่อมศูนย์ซ่อมอากาศยาน – สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 จังหวัดนครพนม และ 5) การพัฒนาโครงข่ายทางถนนมอเตอร์เวย์/ทางพิเศษในอนาคต อาทิ ทางพิเศษฉลองรัชส่วนต่อขยาย ช่วงจตุโชติ – วงแหวนรอบนอกพรุงเทพฯ รอบที่ 3 และทางพิเศษสายเมืองใหม่ – เกาะแก้ว – กะทู้ จังหวัดภูเก็ต เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีแผนก่อสร้าง Missing Link เพื่อเติมเต็มโครงข่าย ทางถนนให้แล้วเสร็จเป็นรูปธรรมทำให้ระบบโลจิสติกส์ของประเทศมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จากการพัฒนาโครงข่ายทางถนนแล้วเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของรัฐบาลในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กระทรวงฯ ได้เริ่มให้บริการระบบขนส่งสาธารณะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV Bus) ในหลายเส้นทาง ปัจจุบันมีรถโดยสารไฟฟ้าให้บริการแล้ว จำนวน 318 คัน และภายในปี 2566 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,250 คัน

  1. การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางราง กระทรวงฯ มีนโยบายในการมุ่งส่งเสริมการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากทางถนนไปสู่ทางราง ทั้งการเดินทางในเมือง การเดินทางระหว่างเมือง และการขนส่งสินค้า โดยในปัจจุบันได้เปิดให้บริการระบบรถไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล แล้ว จำนวน 11 สาย ระยะทางรวม 212 กิโลเมตร อยู่ระหว่างก่อสร้าง จำนวน 4 สาย ระยะทางรวม 114 กิโลเมตร อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบการลงทุน และจะเปิดประมูลอีก 4 สาย คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2574 สำหรับอนาคตมีแผนดำเนินการเพิ่มเติมอีก 8 สาย อาทิ รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีแดง การพัฒนารถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา – ชุมทางถนนจิระ ช่วงลพบุรี – ปากน้ำโพ และช่วงนครปฐม – ชุมพร รวมถึงโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ ช่วงบ้านไผ่ – มุกดาหาร – นครพนม การพัฒนารถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ – หนองคาย และรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา) เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพิ่มความสะดวกในการเดินทางของประชาชน ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล แก้ไขปัญหาจราจร และปัญหามลพิษ
  2. การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางน้ำ กระทรวงฯ เร่งผลักดันการพัฒนาท่าเรือ และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการขนส่งทางน้ำ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือ อาทิ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 การพัฒนาท่าเรือกรุงเทพฝั่งตะวันตกเป็นท่าเรืออัตโนมัติ (Automated Container Terminal) การจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ โครงการจัดทำแผนแม่บทเพื่อพัฒนาท่าเรือสำราญ (Marina) ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย และโครงการเรือขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ซึ่งกระทรวงฯ ได้ให้ความสำคัญ ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยได้ผลักดันการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2563 ปัจจุบัน มีเรือโดยสารไฟฟ้าที่ให้บริการอยู่จำนวนทั้งสิ้น 51 ลำ และจะเพิ่มเป็น 69 ลำ ในปี 2566
     
  3. การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางอากาศ กระทรวงฯ มีแผนในการเพิ่มศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมทางอากาศให้มากขึ้น เพื่อรองรับปริมาณการเดินทางทางอากาศ และเพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้าสู่ประเทศไทยว่าจะมีสูงถึง 200 ล้านคน ในปี 2574 กระทรวงฯ จึงมีแผนการพัฒนาท่าอากาศยาน ดังนี้ 1) โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 โดยเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปี 2) โครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ EEC ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 15.9 ล้านคนต่อปี 3) โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 40 ล้านคนต่อปี ในปี 2570 และ 4) การพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะที่ 2 เพื่อขยายขีดความสามารถให้รองรับผู้โดยสารจากเดิม 12.5 ล้านคนต่อปี เป็น 18 ล้านคนต่อปี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีงบประมาณ 2566 กระทรวงฯ มีวงเงินลงทุนทั้งในและนอกงบประมาณภาคคมนาคม จำนวน 124,839 ล้านบาท สามารถจำแนกตามแหล่งเงินได้เป็น เงินงบประมาณ 35,396 ล้านบาท และเงินนอกงบประมาณ (รายได้รัฐวิสาหกิจ เงินกู้ และ PPP) จำนวน 89,443 ล้านบาท ซึ่งจากแผนการลงทุนตามแผนปี 2566 จะทำให้เกิดการจ้างงานและมีการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการคมนาคมและขนส่งอย่างต่อเนื่อง เพิ่มศักยภาพให้เกิดการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน และยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เดินหน้าอย่างก้าวกระโดดต่อไป.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง