กรุงเทพ 5 ส.ค.- สมาคมเศรษฐศาสตร์ ชี้ สาเหตุที่สหรัฐอเมริกาเก็บภาษีศุลกากรนำเข้ากับทุกประเทศเนื่องจากมีปัญหามากมายทั้งการขาดทุนการคลังปีละ 1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นปีละ 36 ล้านล้านเหรียญซึ่งไทยจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างภาษีการค้า และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเกี่ยวกับสินค้าเกษตรครั้งใหญ่
สมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยจัดเสวนา “Trump’s Tariffs:ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร? ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทำไมต้องมีภาษีทรัมป์ ก็เพราะช่วงที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกามีปัญหาเยอะมากขาดทุนการคลังถึงปีละ 1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 36 ล้านล้านเหรียญ ขณะนี้สหรัฐอเมริกาเริ่มจะแพ้จีนและไม่เกิน 5 ปี จีนจะแซงสหรัฐ โดยจีนคือผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ฐานการผลิตใหญ่กว่าสหรัฐถึง 2 เท่าและจีนมีระบบการค้าออนไลน์ที่ใหญ่กว่าสหรัฐถึง 3 เท่า นอกจากนี้อุตสาหกรรมหลักของโลกมี 44 อย่าง ตอนนี้จีนนำสหรัฐไปแล้ว 37 อย่าง เช่นการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่จีนเริ่มเหนือกว่าโดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูง และมีเพียง 7 อย่างที่สหรัฐยังนำจีน สำหรับผลกระทบภาษีทรัมป์คงไม่จบในวันนี้ และยังมีผลต่อเนื่องเหมือนสึนามิ คลื่นอีกหลายลูก คลื่นลูกแรกที่มีผลต่อตลาดทุน ตรงนี้จบไปแล้วและไม่น่าจะมีผลอะไร แต่คลื่นลูกสองกำลังกระทบภาคผลิต เอสเอ็มอี ภาคเกษตร รวมถึงสินค้าผ่านทาง ซึ่งรัฐบาลต้องคิดให้หนักในการดูแล คลื่นลูกสาม ภาษีที่ 19% ถือว่าดีมากกับไทย ไม่กระทบต่อการย้ายฐานผลิต และคลื่นลูกที่สี่ ผลกระทบนี้จะทำให้สหรัฐฯ เสียหาย เห็นได้จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ชาติอื่นอาจต้องหาสกุลเงินอื่น หรือคริปโตฯแทน
ทั้งนี้ อยากให้รัฐบาลทำใน 3 เรื่อง เรื่องแรกไทยจะประคองเศรษฐกิจให้ได้ เพราะมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง ต้องเยียวยาผู้ถูกกระทบและดูแลเอสเอ็มอี เพราะมีสินค้าจากจีนเข้ามาถล่มตลาดไทยล่าสุดโตถึง 28% โดยแนวทางอาจให้เกณฑ์จัดซื้อจ้างจ้างเอสเอ็มอี 50% เรื่องที่สอง การวางรากฐานสู่อนาคต เช่น แก้อุปสรรคการค้าในประเทศ สร้างเศรษฐกิจใหม่ เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง ลดพึ่งพาตลาดสหรัฐขยายตลาดใหม่ โดยจับกลุ่มอินเดีย อาเซียน และจีน มีเศรษฐกิจรวมกันเกินครึ่งของโลก เพื่อลดแรงกระแทกจากสหรัฐในอนาคต และส่วนสาม การวางสถานะประเทศไทยในตำแหน่งที่เหมาะสมรับกติกาโลกใหม่

รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร อดีตนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ไทยจำเป็นต้องใช้โอกาสนี้ปฏิรูปโครงสร้างภาษีการค้า และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเกี่ยวกับสินค้าเกษตรครั้งใหญ่ เพื่อให้ไทยแข่งขันได้ โดยเรื่องนี้สหรัฐเรียกร้องมานานตั้งแต่ปี 54 ซึ่งภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรสูงเฉลี่ย 24.3% อาหารแปรรูป 30-50% สินค้าอุตสาหกรรม 9% รวมถึงอุปสรรคไม่ใช่ภาษี เช่น การขออนุญาต 19 หน่วยงาน เสียภาษีซ้ำซ้อน ทั้งภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล ตลอดจนโควตานำเข้า หรือล่าสุด ปี 68 สหรัฐได้รายงานไทยเก็บภาษีสหรัฐเฉลี่ย 9.8% และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีอีกมาก เช่น ห้ามนำเข้าเอทานอล การควบคุมตลาดอาหารทารก สารเร่งเนื้อแดง
สำหรับอัตราภาษีที่สหรัฐเก็บไทย 19% นั้น จะมีผลกระทบต่อข้าวหอมมะลิ ที่จะแข่งขันกับเวียดนามสูงต่อไป เพราะปัจจุบันไทยส่งออกไปสหรัฐ 6 แสนตัน ซึ่งแม้ภาษีใกล้กัน แต่เวียดนามขายเพียง 600-700 ดอลลาร์ต่อตัน ถูกกว่าไทยที่คิด 900-1,200 ดอลลาร์ฯ แต่ที่เสียเปรียบหนักคือกุ้ง และปลาทูน่า ซึ่งผู้ส่งออกรายใหญ่ของไทยต้องพึ่งตลาดสหรัฐถึง 39% รวมถึงผลิตภัณฑ์ยางไทยก็ต้องแข่งสูง เพราะพึ่งตลาดสหรัฐ 31.6%ส่วนผลกระทบจากที่ไทยเปิดภาษีนำเข้าสหรัฐ 0% อาจทำให้ชาวไร่ข้าวโพดเดือดร้อน เพราะราคาในประเทศอาจต่ำลง ชาวไร่โดยเฉพาะบนเขาต้องเปลี่ยนอาชีพ ขณะที่เนื้อหมูคาดไทยเปิดโควตานำเข้าสหรัฐ 10,000 ตัน แต่มีเงื่อนไขต้องไม่มีสารเร่งเนื้อแดง และห้ามนำเข้าเครื่องในเพราะถ้านำเข้ามาอาจทำให้ผู้เลี้ยงสาหัส แต่เรื่องหมูต้องรอดูข้อสรุปอีกครั้ง
สำหรับผลไม้เมืองหนาว ผู้บริโภคไทยน่าจะได้ประโยชน์ เช่นเดียวกับ ข้าวโพด ถั่วเหลือง 0% จะเป็นผลดี เพราะไทยพึ่งพาการนำเข้าข้าวโพดปีละ 3.5-4 ล้านตัน กากถั่วเหลืองนำเข้า 3.5 ล้านตัน โดยทำให้ต้นทุนการเลี้ยงไก่เนื้อ ไก่ไข่ หมู โค ลดลง ผู้บริโภคซื้ออาหารในราคาถูก มลพิษการเผาลดลง ซึ่งที่ผ่านมาประมาณการผลจากกำแพงภาษีนำเข้า 6 ชนิด ทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น 12,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีการผลักไปให้ผู้บริโภค 9 พันกว่าล้านบาท แต่ถ้าหายไปตรงนี้จะทำให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์
นายนิพนธ์ กล่าวว่า แนวทางแก้ปัญหาต้องเร่งจัดการ สินค้าสวมสิทธิจากจีนโดยด่วน โดยเฉพาะกลุ่มคอมพิวเตอร์ เครื่องจักร อิเล็กทรอนิกส์เพราะสหรัฐต้องการมาก รวมถึงเร่งการลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม รวมทั้งแก้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ตลอดจนส่งนักเรียน ข้าราชการไปเรียนต่อสหรัฐเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ไทยต้องแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อคนต่างด้าว โดยดึงอุตสาหกรรมเทคฯ ชั้นสูงเข้ามา รวมถึงหาแนวทางปรับตัวระยะกลาง โดยหาตลาดใหม่ ปรับปรุงการผลิตใหม่ ๆ การตั้งกองทุนปรับโครงสร้างการผลิต ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐกับเอกชน และการวางตัวเป็นกลาง ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
สำหรับการปรับตัวภาคเกษตร ต้องเพิ่มภาพการผลิตและความสามารถในการแข่งขัน โดยลดจำนวนแรงงานภาคการเกษตร ให้ไปทำงานอย่างอื่น โดยแรงงานภาคเกษตรมี 25-30% จะต้องลดให้เหลือ 7-8% โดยให้คนย้ายไปทำงานด้านอื่นๆในพื้นที่เดิมโดยไม่ต้องย้ายถิ่นฐาน ซึ่งรัฐต้องช่วยสร้างงานใหม่ในชนบท ควบคู่กับการพัฒนาทักษะ ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างด้านเกษตรใหม่ – 513.-สำนักข่าวไทย