เสวนาสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย

กรุงเทพ 5 ส.ค.- สมาคมเศรษฐศาสตร์ ชี้ สาเหตุที่สหรัฐอเมริกาเก็บภาษีศุลกากรนำเข้ากับทุกประเทศเนื่องจากมีปัญหามากมายทั้งการขาดทุนการคลังปีละ 1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นปีละ 36 ล้านล้านเหรียญซึ่งไทยจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างภาษีการค้า และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเกี่ยวกับสินค้าเกษตรครั้งใหญ่


สมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยจัดเสวนา “Trump’s Tariffs:ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร? ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทำไมต้องมีภาษีทรัมป์ ก็เพราะช่วงที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกามีปัญหาเยอะมากขาดทุนการคลังถึงปีละ 1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 36 ล้านล้านเหรียญ ขณะนี้สหรัฐอเมริกาเริ่มจะแพ้จีนและไม่เกิน 5 ปี จีนจะแซงสหรัฐ โดยจีนคือผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ฐานการผลิตใหญ่กว่าสหรัฐถึง 2 เท่าและจีนมีระบบการค้าออนไลน์ที่ใหญ่กว่าสหรัฐถึง 3 เท่า นอกจากนี้อุตสาหกรรมหลักของโลกมี 44 อย่าง ตอนนี้จีนนำสหรัฐไปแล้ว 37 อย่าง เช่นการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่จีนเริ่มเหนือกว่าโดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูง และมีเพียง 7 อย่างที่สหรัฐยังนำจีน สำหรับผลกระทบภาษีทรัมป์คงไม่จบในวันนี้ และยังมีผลต่อเนื่องเหมือนสึนามิ คลื่นอีกหลายลูก คลื่นลูกแรกที่มีผลต่อตลาดทุน ตรงนี้จบไปแล้วและไม่น่าจะมีผลอะไร แต่คลื่นลูกสองกำลังกระทบภาคผลิต เอสเอ็มอี ภาคเกษตร รวมถึงสินค้าผ่านทาง ซึ่งรัฐบาลต้องคิดให้หนักในการดูแล คลื่นลูกสาม ภาษีที่ 19% ถือว่าดีมากกับไทย ไม่กระทบต่อการย้ายฐานผลิต และคลื่นลูกที่สี่ ผลกระทบนี้จะทำให้สหรัฐฯ เสียหาย เห็นได้จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ชาติอื่นอาจต้องหาสกุลเงินอื่น หรือคริปโตฯแทน

ทั้งนี้ อยากให้รัฐบาลทำใน 3 เรื่อง เรื่องแรกไทยจะประคองเศรษฐกิจให้ได้ เพราะมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง ต้องเยียวยาผู้ถูกกระทบและดูแลเอสเอ็มอี เพราะมีสินค้าจากจีนเข้ามาถล่มตลาดไทยล่าสุดโตถึง 28% โดยแนวทางอาจให้เกณฑ์จัดซื้อจ้างจ้างเอสเอ็มอี 50% เรื่องที่สอง การวางรากฐานสู่อนาคต เช่น แก้อุปสรรคการค้าในประเทศ สร้างเศรษฐกิจใหม่ เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง ลดพึ่งพาตลาดสหรัฐขยายตลาดใหม่ โดยจับกลุ่มอินเดีย อาเซียน และจีน มีเศรษฐกิจรวมกันเกินครึ่งของโลก เพื่อลดแรงกระแทกจากสหรัฐในอนาคต และส่วนสาม การวางสถานะประเทศไทยในตำแหน่งที่เหมาะสมรับกติกาโลกใหม่


รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร อดีตนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ไทยจำเป็นต้องใช้โอกาสนี้ปฏิรูปโครงสร้างภาษีการค้า และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเกี่ยวกับสินค้าเกษตรครั้งใหญ่ เพื่อให้ไทยแข่งขันได้ โดยเรื่องนี้สหรัฐเรียกร้องมานานตั้งแต่ปี 54 ซึ่งภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรสูงเฉลี่ย 24.3% อาหารแปรรูป 30-50% สินค้าอุตสาหกรรม 9% รวมถึงอุปสรรคไม่ใช่ภาษี เช่น การขออนุญาต 19 หน่วยงาน เสียภาษีซ้ำซ้อน ทั้งภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล ตลอดจนโควตานำเข้า หรือล่าสุด ปี 68 สหรัฐได้รายงานไทยเก็บภาษีสหรัฐเฉลี่ย 9.8% และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีอีกมาก เช่น ห้ามนำเข้าเอทานอล การควบคุมตลาดอาหารทารก สารเร่งเนื้อแดง
สำหรับอัตราภาษีที่สหรัฐเก็บไทย 19% นั้น จะมีผลกระทบต่อข้าวหอมมะลิ ที่จะแข่งขันกับเวียดนามสูงต่อไป เพราะปัจจุบันไทยส่งออกไปสหรัฐ 6 แสนตัน ซึ่งแม้ภาษีใกล้กัน แต่เวียดนามขายเพียง 600-700 ดอลลาร์ต่อตัน ถูกกว่าไทยที่คิด 900-1,200 ดอลลาร์ฯ แต่ที่เสียเปรียบหนักคือกุ้ง และปลาทูน่า ซึ่งผู้ส่งออกรายใหญ่ของไทยต้องพึ่งตลาดสหรัฐถึง 39% รวมถึงผลิตภัณฑ์ยางไทยก็ต้องแข่งสูง เพราะพึ่งตลาดสหรัฐ 31.6%ส่วนผลกระทบจากที่ไทยเปิดภาษีนำเข้าสหรัฐ 0% อาจทำให้ชาวไร่ข้าวโพดเดือดร้อน เพราะราคาในประเทศอาจต่ำลง ชาวไร่โดยเฉพาะบนเขาต้องเปลี่ยนอาชีพ ขณะที่เนื้อหมูคาดไทยเปิดโควตานำเข้าสหรัฐ 10,000 ตัน แต่มีเงื่อนไขต้องไม่มีสารเร่งเนื้อแดง และห้ามนำเข้าเครื่องในเพราะถ้านำเข้ามาอาจทำให้ผู้เลี้ยงสาหัส แต่เรื่องหมูต้องรอดูข้อสรุปอีกครั้ง

สำหรับผลไม้เมืองหนาว ผู้บริโภคไทยน่าจะได้ประโยชน์ เช่นเดียวกับ ข้าวโพด ถั่วเหลือง 0% จะเป็นผลดี เพราะไทยพึ่งพาการนำเข้าข้าวโพดปีละ 3.5-4 ล้านตัน กากถั่วเหลืองนำเข้า 3.5 ล้านตัน โดยทำให้ต้นทุนการเลี้ยงไก่เนื้อ ไก่ไข่ หมู โค ลดลง ผู้บริโภคซื้ออาหารในราคาถูก มลพิษการเผาลดลง ซึ่งที่ผ่านมาประมาณการผลจากกำแพงภาษีนำเข้า 6 ชนิด ทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น 12,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีการผลักไปให้ผู้บริโภค 9 พันกว่าล้านบาท แต่ถ้าหายไปตรงนี้จะทำให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์

นายนิพนธ์ กล่าวว่า แนวทางแก้ปัญหาต้องเร่งจัดการ สินค้าสวมสิทธิจากจีนโดยด่วน โดยเฉพาะกลุ่มคอมพิวเตอร์ เครื่องจักร อิเล็กทรอนิกส์เพราะสหรัฐต้องการมาก รวมถึงเร่งการลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม รวมทั้งแก้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ตลอดจนส่งนักเรียน ข้าราชการไปเรียนต่อสหรัฐเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ไทยต้องแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อคนต่างด้าว โดยดึงอุตสาหกรรมเทคฯ ชั้นสูงเข้ามา รวมถึงหาแนวทางปรับตัวระยะกลาง โดยหาตลาดใหม่ ปรับปรุงการผลิตใหม่ ๆ การตั้งกองทุนปรับโครงสร้างการผลิต ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐกับเอกชน และการวางตัวเป็นกลาง ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ


สำหรับการปรับตัวภาคเกษตร ต้องเพิ่มภาพการผลิตและความสามารถในการแข่งขัน โดยลดจำนวนแรงงานภาคการเกษตร ให้ไปทำงานอย่างอื่น โดยแรงงานภาคเกษตรมี 25-30% จะต้องลดให้เหลือ 7-8% โดยให้คนย้ายไปทำงานด้านอื่นๆในพื้นที่เดิมโดยไม่ต้องย้ายถิ่นฐาน ซึ่งรัฐต้องช่วยสร้างงานใหม่ในชนบท ควบคู่กับการพัฒนาทักษะ ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างด้านเกษตรใหม่ – 513.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย