กรุงเทพฯ 7 ธ.ค.- กกร. ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 66 จีดีพียังโตได้ต่อ 3-3.5% จากท่องเที่ยวฟื้นตัว แต่ยังกังวลค่าไฟงวดใหม่ ซ้ำเติมการฟื้นตัว ห่วงนโยบายขึ้นค่าแรง 600 บาทของพรรคการเมืองทำนักลงทุนต่างชาติหายเพราะต้นทุนภาคธุรกิจเพิ่มอีก 70%
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร.ได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจปี 2566 โดยคาดจีดีพี จะโต 3-3.5% จากปี 65 ที่คาดว่าจะโต 3.2% การส่งออกขยายตัว 1-2% จากปี 65 ที่คาดว่าจะโต 7.25% ส่วนเงินเฟ้อ 2.7-3.2% จากปี 2565 ที่ 6.2% ทั้งนี้มาจากปัจจัยสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชนเป็นหลัก ในขณะที่มีข้อจำกัดของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและการปรับนโยบายเศรษฐกิจสู่ภาวะปกติ
เศรษฐกิจปี 2565 เป็นไปตามกรอบที่ประเมินไว้จากอานิสงส์ส่งออก และการท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัว แต่ส่งออกเริ่มมีผลกระทบจากเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าหลักชะลอที่ทำให้เดือน ต.ค.หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือน ดังนั้นปี2566 เศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวจากภาวะเงินตึงตัวและเงินเฟ้อจึงกระทบต่อการส่งออกไทยที่จะชะลอตัวในระยะต่อไป ดังนั้นเศรษฐกิจไทยหน้า จะเหลือภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากกว่า 20 ล้านคนเศรษฐกิจจึงฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่และยังมีสัญญาณเปราะบาง
อย่างไรก็ตาม กกร.ได้หารือถึงประเด็นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(Ft) ในงวดม.ค.-เม.ย.66 ที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)เปิดรับฟังคววามเห็นการปรับขึ้น 3 แนวทางตั้งแต่ 158-224 สตางค์ต่อหน่วย (เพิ่มขึ้น 14-28%) นี้โดยกกร.มองว่าการปรับขึ้นค่าไฟจะเป็นการกระทบรุนแรงต่อค่าครองชีพและต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ ทั้งภาคการผลิต และภาคการบริการที่อยู่ในช่วงฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น กกร.จึงเสนอให้รัฐพิจารณาชะลอการปรับค่า Ft ของเดือน ม.ค.-เม.ย. ปี 66 ออกไปก่อน โดยจะทำหนังสือถึงกระทรวงพลังงานเพื่อขอให้คงค่าไฟเฉลี่ยไว้ที่ปัจจุบัน 4.72 บาทต่อหน่วย
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า กกร.มีความกังวลค่าไฟที่จะปรับขึ้นในงวดใหม่(ม.ค.-เม.ย.66)ที่มีการขึ้นต่อเนื่องซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตและทำให้ขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยให้มีโอกาสลดลงได้อีกจากปี 2565 ที่ไทยถูกจัดอันดับขีดแข่งขัน ลดลง 5 อันดับมาอยู่ที่ 33 ของโลก เนื่องจากค่าไฟหากเทียบกับคู่แข่งทางการค้าเช่น เวียดนามพบว่ามีค่าไฟอยู่เพียง 2.88 บาทต่อหน่วยเท่านั้นซึ่งนั่นยังไม่รวมกับข้อได้เปรียบอื่นๆของเวียดนามเช่น มีการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีหรือ FTA มากกว่าไทย ฯลฯ ขณะเดียวกันค่าไฟที่เพิ่มจะทำให้การดึงดูดการลงทุนตรงจากต่างประเทศ(FDI) ของไทยลดความน่าสนใจลงอีกด้วย
นอกจากนี้อีกหนึ่งประเด็นร้อน คือเรื่องค่าแรง ที่พรรคการเมืองได้ประกาศนโยบายหาเสียงขึ้นค่าแรง 600 บาทต่อวันและปริญญาตรีเป็น 25,000 บาทต่อเดือน นายสนั่น เผยว่า กกร.เห็นว่า ว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในช่วงที่ผ่านมาที่มีคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีพิจารณามีความเหมาะสมแล้ว เพราะเป็นการคำนึงถึงการครองชีพของลูกจ้าง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ ดัชนีค่าครองชีพ ราคาสินค้า ความสามารถของนายจ้าง ณ เวลานั้นๆ ที่จะมีความสมดุล โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มยังไม่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดมากนัก
ทั้งนี้ กกร.เห็นด้วยว่าต้องมีการปรับขึ้นค่าแรง แต่ก็ต้องเป็นไปตามความเหมาะสมการขึ้นค่าแรง เป็น 600 บาท จากปัจจุบันที่ค่าแรงเฉลี่ยอยู่ที่ 328 – 354 บาทต่อวัน ถึงแม้ว่าจะเป็นการทยอยขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนภาคธุรกิจปรับเพิ่มขึ้นเท่าตัว เมื่อรวมกับค่าต่างๆที่ต้องจ่ายจะทำให้เพิ่มอีกเกือบ 70% ทำให้ภาคธุรกิจอาจปรับตัวไม่ทัน อีกทั้งปัจจุบันSME ยังมีปัญหาด้านรายได้และสภาพคล่องในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อสูงทั่วโลก และมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ดังนั้น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจทำให้ SME หยุดหรือยกเลิกกิจการเพราะแบกรับต้นทุนไม่ไหว ส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่คงต้องมีการทบทวนแผนการจ้างงาน การชะลอการลงทุนในระยะสั้น หรือแม้แต่การนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้แทนแรงงาน รวมถึงการลงทุนตรงจากต่างประเทศที่อาจชะลอลงเพราะต้นทุนค่าแรงของไทยสูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
นางผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ยอมรับว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะเพิ่มขึ้นตามทิศทางของการปรับขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่ขณะนี้อยู่ที่ 1.25% อย่างไรก็ตามจากการที่พบว่ามีลูกหนี้กลุ่มเปราะบางกว่า 3 ล้านรายทุกภาคส่วนยังคงเดินหน้าจัดมหกรรมแก้หนี้ทั่วประเทศ โดย 16-18 ธ.ค.นี้จะจัดที่จ.เชียงใหม่ และในปีหน้าจะมีการจัดงานที่จ.ชลบุรีและหาดใหญ่ .-สำนักข่าวไทย
