สยามพารากอน 28 ก.ย.- ผู้แทนการค้าไทย หนุนนักลงทุน ผู้บริหารต่างชาติ ซื้อบ้านเดี่ยวแนวราบ กระตุ้นกำลังซื้อภาค อสังหาฯ หลายฝ่ายเป็นห่วงดอกเบี้ยสูง แนะผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาคบริการภาคธุรกิจ
ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย กล่าวในงานสัมมนา “อสังหาริมทรัพย์ไทย พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ว่า รัฐบาลมุ่งส่งเสริมการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวก อาศัยในประเทศกรณีพิเศษสำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงนักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ จึงต้องการส่งเสริมการพักอาศัยในประเทศระยะยาวสำหรับกลุ่มเป้าหมายรายได้สูงและทักษะสูง (LTR) ด้วยการให้ถือวีซ่าระยะยาว 10 ปี เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคตNews S-Curve เข้ามาลงทุนในประเทศ ทำให้ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาทำงานจำนวนมาก
ผู้แทนการค้าไทย จึงพร้อมหารือกับหลายฝ่าย เพื่อให้ต่างชาติซื้อบ้านแนวราบ ตามเงื่อนไขกำหนด นอกเหนือจากการซื้อคอนโดมิเนียม เพื่อเติมกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ แนวทางดังกล่าวไม่ใช่เป็นการขายชาติ จากการสอบถามความเห็นของต่างชาติ เมื่อต้องการเข้ามาลงทุนเป็นเวลานาน จึงควรมีบ้านอยู่อาศัย การบริการส่งอำนวยความสะดวก โดยมีเงื่อนไขกำหนด ในการดึงดูดการลงทุน รัฐบาลจึงกำหนดเป้าหมายผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุนใช้สิทธิ์ LTR ประมาณ 2 แสนคนต่อปี และยังต้องออกมาตรการส่งเสริม เพื่อให้บริการแบบ One Stop Service รองรับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว
แม้เศรษฐกิจไทย ยังเผชิญกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน ความผันผวนตลาดเงิน แต่ยังมีปัจจัยบวกจากการส่งออกและการท่องเที่ยว คาดว่ามีต่างชาติเดินทางเข้าไทย 9.5 ล้านคน จึงคาดว่าจีดีพีไทยขยายตัวร้อยละ 2.7-3.2 ส่วนภาคอสังหาฯ นับเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะมีสัดส่วนร้อยละ 3 ของจีดีพี และยังมีอุตสหากรรมต่อเนื่อง ทั้งการก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ในบ้าน รวมแล้วสัดส่วนร้อยละ 9.8 ของจีดีพี มีการจ้างงาน 2.8 ล้านราย หลังจากรัฐบาลขยายเวลาการโอนและจดจำนองบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหลัง ทำให้มียอดโอนกรรมสิทธิ์ไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.3 จากสิ้นปี 64 มีการโอนร้อยละ 41.6 นับว่าภาคอสังหามีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างมาก
“ความท้ายทายในอนาคต ผู้ประกอบการต้อง ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป หลังจากโควิด-19 ประชาชน ทำงานที่บ้าน ระวังการใช้ชีวิต สนในใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน รถไฟฟ้า การใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในยุคดิจิทัล การสร้างบ้านอยู่อาศัย จึงต้องตอนสนองคนรุ่นใหม่ ในการรักษ์โลก ดูแลสิ่งแวดล้อม” ผู้แทนการค้าไทย กล่าว
ม.ล.ชโยทิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าทะลุ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเนื่องจากสกุลดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ยังเข้มแข็ง สภาพคล่องเงินออมในประเทศยังมีจำนวนมาก ทุนสำรองระหว่างประเทศสูงอันดับ 12 ของโลก เงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ยังสูงถึง 6-7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้ จึงแตกต่างจากปัญหาเศรษฐกิจปี40

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ และที่ปรึกษาสถาบันวิจัยภัทร กล่าวว่า ตลาดยังจับตาธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับเพิ่มดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในเดือน พ.ย.-ธ.ค.65 รวมปรับเพิ่มร้อยละ 1.25 จึงคาดว่า กนง.ของไทยรอบนี้ อาจขยับเพิ่มดอกเบี้ยร้อยละ 0.50 หากขึ้นดอกเบี้ยช้าเกินไปอาจดูแลปัญหาเงินเฟ้อไม่ทันสถานการณ์ ส่วนต่างดอกเบี้ยจะสูงถึงร้อยละ 3 หากดอกเบี้ยมีส่วนต่างสูงมาก จะเกิดปัญหาเงินไหลออก จึงต้องผลักดันให้ไทยเเกินดุลบัญชีเดินสะพัดให้เป็นบวก โดยเฉพาะในปีหน้า ต้องหาทางดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 2 ล้านคนต่อเดือน ไม่เช่นนั้น เศรษฐกิจไทยจะเผชิญความเสี่ยงอย่างมาก ในระยะสั้น ไม่มีใครรู้ว่าส่วนต่างดอกเบี้ยระยะสั้นที่เหมาะสมอยู่ตรงจุดไหน
เมื่อเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า จะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ภาคอสังหาริมทรัพย์ จึงมีต้นทุนเพิ่มในการสร้างบ้านอยู่อาศัยเพิ่ม ขณะนี้ไทยต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้บาทอ่อนจะดีสำหรับผู้ส่งออก ขณะที่เอกชนจะเร่งนำสินค้าส่งออกเพื่อหารายได้ แทนการขายในประเทศ ทำให้สินค้าในประเทศขาดแคลน และแพงขึ้นเพิ่มตามไปด้วย ดังนั้นอัตราเงินเฟ้อในประเทศ ต้องดูว่าจะหลุดกรอบเป้าหมาย อย่างไร คลัง-แบงก์ชาติ ต้องหารือกัน
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เงินบาทอ่อนค่า มาจากความแตกต่างของเศรษฐกิจมหาอำนาจ สหรัฐ ยุโรป จีน รัสเซีย มีปัญหาแตกต่างกัน เช่น ญี่ปุ่น นับว่ามีภาระหนี้ภาครัฐร้อยละ 200 จีดีพี แต่ไม่ยอมปรับเพิ่มดอกเบี้ย ทำให้ตลาดโลกมีส่วนต่างของดอกเบี้ยระหว่างประเทศอย่างมาก ทุกสกุลเงินทั่วโลกจึงเข้าไปแทรกแซงตลาด ขณะนี้น้ำหนักส่วนใหญ่มาจากนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ ดอลลาาร์สหรัฐจึงมีโอกาสอีกระยะหนึ่ง จึงเป็นสิ่งที่น่าห่วง
นายกอบศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจไทยขณะนี้ต้องเผชิญกับ 3 กระแสหลัก ประกอบด้วย 1.เมกกะเทรน 4.0 จากการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล 2. Asia Rising เอเชียจะกลายเป็นแม่เหล็กแห่งการลงทุนของโลก 3. การอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของหลายประเทศทั่วโลก และยังคงอยู่ไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้น ภาคเอกชนต้องนำ 3 ปัจจัยหลักดังกล่าวมากำหนดกลยุทธ์ เพื่อบริหารความเสี่ยงต่อการลงทุน มั่นใจไทยยังมีจุดแข็ง ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทำให้ไทยเป็นศูนย์กลาง.- สำนักข่าวไทย