“บิ๊กเล็ก” แจงกระทู้ชายแดนไทย-กัมพูชา มีสัญญาณบวก

รัฐสภา 3 ก.ค.-ฝ่ายค้านประเดิมกระทู้ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน “บิ๊กเล็ก” เผยสถานการณ์ไทย-กัมพูชา มีสัญญาณบวก ผู้นำระดับสูงของกัมพูชายอมพูดคุยเจรจา GBC พร้อมแจงมาตรการกดดัน 2 จาก 4 ขั้นตอน หลัง “ฮุน เซน” โพสต์โซเชียล ยอมรับลำบากใจจัดการสถานการณ์ เหตุสังคมมีความเห็น 2 ฝ่าย

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัด นอร์มะทาประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานในที่ประชุม ในระเบียบวาระ กระทู้ถามสดด้วยวาจาของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมี พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงแทน


นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สถานการณ์วิกฤตไทยกัมพูชาที่เกิดขึ้นตอนนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องการคือรัฐบาลที่เข้มแข็งไม่อ่อนแอขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการบริหารสถานการณ์อย่างมีวุฒิภาวะรอบคอบได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศ โดยเฉพาะเพื่อนบ้านให้ความเกรงอกเกรงใจรัฐบาลไทย ซึ่งการที่รัฐบาลจะดำเนิน มาตรการต่างๆอย่างเข้มแข็งและเหมาะสม ก็มีหลายมาตรการที่สามารถทำได้เช่นมาตรการทางการทหาร มาตรการทางเศรษฐกิจ หรือมาตรการที่พุ่งเป้าไปยังผู้มีอิทธิพลของผู้นำกัมพูชา สถานการณ์คลิปหลุดล้วนเกิดขึ้นจากการบริหารที่ผิดพลาดที่ผู้นำประเทศใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างครอบครัวจนนำมาสู่วิกฤตครั้งนี้ที่คลี่คลายได้อย่างยากยิ่งขึ้น

นายกรัฐมนตรี เคยมีการสื่อสารต่อสื่อมวลชนว่ามาตรการทางเศรษฐกิจที่ในบางกรณีหรือหลายกรณีนั้นส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้างต้องใช้ไปเพื่อสร้างแรงกดดัน เพื่อป้องกันผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของกำลังทหารและการใช้กับอาวุธที่ใช้ปฏิบัติการในระยะไกลของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งมาตรการอื่นๆสามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นมาตรการทางเศรษฐกิจ หากสถานการณ์ปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2568 เป็นต้นมามีรายงานข่าวที่สอดคล้องกันทั้ง 2 ประเทศ ว่ากัมพูชาได้ปรับกำลังถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาทแล้วแต่เราก็ทราบดีว่าในขณะนี้เรื่องของการควบคุมด่านชายแดนที่รัฐมนตรีใช้คำว่าเปิดด่านแบบจำกัดเวลาเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ ที่ด้านหนึ่งเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพแตกด้านหนึ่งก็ส่งผลกระทบต่อประชาชนภายในวงกว้างเช่นเดียวกัน


คำถามแรกที่อยากจะถาม รัฐบาลต้องแสดงความเข้มแข็ง พวกเราไม่ได้เห็นต่างในเรื่องการใช้มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ แต่ใช้อย่างไรให้เหมาะสมและแสดงออกว่ารัฐบาล ยังรอบคอบมีวุฒิภาวะไม่ดำเนินมาตรการที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเกินความจำเป็น ดังนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตามหน้าข่าวอาจไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงจึงอยาก ทราบข้อเท็จจริงจากรัฐมนตรีในวันนี้ แล้วอยากจะสอบถามว่าณ ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างไทย -กัมพูชาตามแนวชายแดนยังมีความตึงเครียดมีความกดดันทางด้านการทหารที่กัมพูชาดำเนินการอยู่ใช่หรือไม่ หากมี มีอย่างไร

ด้าน พล.อ.ณัฐพล ขอชี้แจงภาพรวมว่าวันที่ 8 มิถุนายน กัมพูชาได้มีการเคลื่อนย้ายกำลังกลับจากจุดที่เผชิญหน้ากันอยู่หลายครั้งที่เราพยายามจะเจรจากับฝ่ายกัมพูชา เพราะมีกำลังเข้ามาเผชิญหน้าอยู่ระยะใกล้ ถ้ามีการเริ่มใช้อาวุธจะมีความตึงเครียดเหตุการณ์อาจจะบานปลายได้ แม้กำลังที่ เผชิญหน้าจะถอนกลับไปแล้วแต่กำลังส่วนที่เหลือที่มีจำนวนมากมีทั้งอาวุธหนักทั้งรถถังและปืนใหญ่ยังเป็นกำลังและรอบ 2 ที่ยังคงอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ยังมีความเสี่ยงที่วันใดวันหนึ่งเกิดความไม่เข้าใจกันแล้วอาจทำให้สถานการณ์บานปลายถึงขั้นใช้อาวุธหนัก

ตนเองมีประสบการณ์ตอนเขาพระวิหารในครั้งนั้นอาวุธที่ทั้งสองฝ่ายมีนั้นยังไม่ร้ายแรงเท่าครั้งนี้ ถ้างั้นรัฐบาลมีความห่วงใยความปลอดภัยของประชาชน จึงมีแนวทางในการดำเนินการคลี่คลายความตึงเครียดในบริเวณชายแดน โดยศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย -กัมพูชา (ศบ.ทก.) ที่ทำงานภายใต้สภาความมั่นคงแห่งชาติเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ได้กำหนดแนวทางการทำงานได้ไว้อย่างชัดเจน บนพื้นฐานสันติวิธี และการยึดถือศักดิ์ศรีแห่งความเป็นรัฐของทั้งสองฝ่าย มุ่งเน้นเจรจาแบบทวิภาคีกับกัมพูชาเพื่อคลี่คลายอย่างสันติ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย ด้านการใช้อาวุธและบานปลายในแง่ของความเดือดร้อนของประชาชน


ทั้งนี้ ศบ.ทก. และรัฐบาลหนักใจ เพราะว่าสังคมมี2 กระแส คือ ประชาชนตามจังหวัดแนวชายแดนเรียกร้องรัฐบาลยุติสถานการณ์โดยเร็ว เพราะประชาชนเดือดร้อน ทั้งในแง่ความปลอดภัยและเศรษฐกิจ แต่ประชาชนพี่น้องส่วนกลางที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลอ่อนข้อ อยากให้ใช้มาตรการที่เข้มแข็ง ดังนั้นการตัดสินใจแต่ละเรื่องจะต้องรอบคอบและใช้น้ำหนักให้ดี

พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่ารัฐบาลตระหนักถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน อาจมีการชี้นำจากฝ่ายการเมืองหรือผู้นำบางคน แต่สิ่งที่ไทยต้องรักษาให้มั่นคือความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชน2 ประเทศ ซึ่งทุกคนตระหนักดีว่าความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเกิดมาจากส่วนบุคคลดังนั้นไม่ควรนำความตึงเครียดขยายไปสู่ประชาชนทั่วไป

“ประชาชนไม่ควรมาเป็นเหยื่อการเมืองระดับรัฐ ขอเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่ต้องดำเนินการทุกอย่างอย่างรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อประชาชน2 ฝ่าย” พล.อ.ณัฐพลกล่าว

พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่าเราจำเป็นต้องดำเนินมาตรการควบคุมที่เข้มงวดบริเวณชายแดนเนื่องจากมีข้อมูลที่ชัดเจนว่า ทางกัมพูชามีการสั่งกำลังเคลื่อนย้ายเข้ามาพื้นที่ชายแดน และไทยจำเป็นต้องเสริมกำลังในระดับที่เหมาะสมเพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคง ซึ่งทุกการเคลื่อนไหวของไทยอยู่ในกรอบสันติวิธีและหลีกเลี่ยงการประทะโดยเด็ดขาดหากกัมพูชาไม่รุกล้ำ อธิปไตยด้วยการติดอาวุธ

ส่วนการควบคุมชายแดนรัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมว่าด้วยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC รวมถึงประเทศพันธมิตรในการปราบปรามกระบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะสแกรมเมอร์ มีข้อมูลว่าแฝงตัวอยู่บริเวณแล้วชายแดนไทย-กัมพูชาจำนวนมาก จึงต้องตรวจสอบควบคุมการเข้าออกในบริเวณชายแดนอย่างเข้มข้น

ยืนยันทุกมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการ ศบ.ทก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง มุ่งหวังให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนบริเวณแนวชายแดนกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด ทางด้าน “ความมั่นคง-เศรษฐกิจสังคม-จิตวิทยา” และยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด

พล.อ.ณัฐพล ยังชี้แจงเรื่องอำนาจของกองทัพ ว่าเป็นเรื่องที่ลำบากใจ เนื่องจากส่วนตัวนั้นเป็นรัฐบาลฝ่ายการเมืองแต่ยังมียศทำให้ถูกมองว่าเป็นทหาร ซึ่งก่อนที่ถูกมอบหมายให้รับหน้าที่ในตำแหน่งนี้ ผู้ใหญ่มองว่าเป็นทหารแล้วมาเป็นรัฐบาลมีข้อดีที่ว่าเวลาอยู่ในรัฐบาลก็เป็นการเมือง แต่กลับกองทัพก็เป็นทหาร แต่ผลที่ที่ผ่านมายังไม่ได้เป็นไปตามที่คิด

“ปรากฏว่าเวลาที่ผมกลับไปอยู่กองทัพทุกคนก็มองว่าผมเป็นรัฐบาล เวลาผมอยู่ในรัฐบาล เค้าก็มองว่าผมเป็นกองทัพ เพราะฉะนั้นขอกราบเรียนท่านประธานว่าปัจจุบันผมทำงาน เวลาผมเป็นรัฐบาลผมก็ทำงานเป็นรัฐบาล ว่าที่ผ่านมาดำเนินการโดยรัฐบาลโดยตนเองเป็นผอ.ศบ.ทก.” พล.อ.ณัฐพลกล่าว

พล.อ.ณัฐพล กล่าวถึงข้อห่วงใยว่ากองทัพมีอำนาจ นั้น ว่ารัฐบาลกำหนดนโยบายให้ทุกส่วนราชการปฏิบัติและใช้อำนาจ สมช. โดยมีรองนายกรัฐมนตรี อำนวยการเพื่อให้ทุกหน่วยงานดำเนินการภายใต้กรอบนโยบายเดียวกัน และกองทัพเป็นหนึ่งในหลายหน่วยงานที่ปฏิบัติตามแนวทางของรัฐบาล สถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนเป็นภาวะฉุกเฉินเชิงความมั่นคง ซึ่งฝ่ายกัมพูชามีระบบสั่งการแบบรวมศูนย์ ผู้นำสามารถสั่งการแนวหน้าตามแนวชายแดนได้ทันที ขณะที่ไทยหากยังใช้สายบังคับบัญชา ตั้งแต่รัฐบาล สมช. และกองทัพ จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันต่อสถานการณ์ จึงขอความเห็นใจในการบริหารสถานการณ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องในการใช้กำลังทหาร ซึ่งการใช้อำนาจกองทัพเป็นมาตรการเฉพาะหน้าภายใต้กำกับ ศบ.ทก. มีการประชุมทุกขั้นตอนไม่ได้ปล่อยให้กองทัพมีอิสระ

ทั้งนี้ รัฐบาลมองเรื่องปัญหาความมั่นคงที่จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และ เศรษฐกิจ ที่ทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งปัจจุบันนี้เริ่มมีสัญญาณบวกว่า ผู้นำระดับสูงของกัมพูชาเริ่มมีการพูดคุย เพราะที่ผ่านมาไม่เคยยอมคุย แต่2-3 วันนี้ เริ่มมีการพูดคุยเรื่องบทบาททวิภาคี GBC แต่สถานการณ์ในโซเชียลระหว่างสองประเทศยังทำให้เกิดเงื่อนไขการเจรจายังไม่ได้ข้อยุติ

พร้อมกันนี้ยังชี้แจงว่ากลไกทวิภาคียังมี JBC ที่เป็นการเจรจาระหว่างแม่ทัพของไทยและกัมพูชา และ GBC ที่มีการเจรจาระหว่างรัฐกับรัฐ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ที่ครอบคลุมตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา ส่วน RBC เป็นกลไกระหว่างกองทัพภาค หรือผู้บัญชาการภาคของฝั่งกัมพูชา-ไทย เช่น การเจรจาในกองทัพภาคที่1 หรือกองทัพภาคที่2

นายณัฐพงษ์ ถามครั้งที่2 ว่า วัตถุประสงค์และข้อเท็จจริงขณะนี้ที่รัฐบาลยังคงมาตรการควบคุมด่านมีไว้เพื่ออะไร เพราะเห็นว่าหากใช้อย่างไม่เหมาะสมจะกลายเป็นความตึงเครียดที่ทำให้การบริหารสถานการณ์เดินไปด้วยความยากลำบาก และความคืบหน้าการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงดำเนินคดีสังหารฝ่ายค้านกัมพูชาในไทย และทราบมาว่ากองทัพมีการประสานไปยัง คณะที่ปรึกษาทางการทหารสหรัฐประจำประเทศไทยหรือ จัสแมกซ์ไทย เพื่อขอกำลังบำรุงเครื่องกระสุนเพื่อรองรับต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น แต่ทราบว่าเรื่องนี้ถูกคว่ำลงเนื่องจากฝ่ายการเมืองปัดตกคำขอ จึงขอฟังเหตุผลเรื่องนี้เพราะเกรงใจต่อประเทศมหาอำนาจอื่น

พลเอกณัฐพล ยอมรับในห้วงเวลาที่ผ่านมา ทำงานกับฝ่ายค้านและเห็นว่าฝ่ายค้านมองผลประโยชน์ของประชาชน เช่นข้อแนะนำของ สส.รังสิมันต์ โรม พร้อมชี้แจงว่าจากจากความกดดันในช่วงแรกที่อังเคิลโพสต์ มาตลอดทำให้รู้สึกว่าเราอาจใช้ความกดดันที่ตึงเครียด โดยไทยมีมาตรการ ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนจนถึงปัจจุบัน คือ มาตรการควบคุมจุดผ่านแดน 4 ขั้นตอน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ขั้นที่2 คือ 1.จำกัดการผ่านแดน 2.การจำกัดวันและเวลาในการเข้าออกจุดผ่านแดน 3. ปิดจุดผ่านแดนบางจุด 4. ปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดน ซึ่งไม่ได้กดดันอะไรมาก อย่างจุดผ่านแดนช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ ฝั่งไทยเปิด แต่ฝั่งกัมพูชาปิด ยืนยันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ภาพจัดฉาก หรือด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว หรือจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลมจังหวัดจันทบุรี

“ขอทุกคนเปิดเข้าใจว่าไทยเปิดจุดผ่านแดนเพียงแต่ใช้มาตรการจำกัดสองขั้นตอนเท่านั้น เลยมีความรู้สึกว่ากดดันมาก เป็นความรู้สึกที่ทางฝ่ายผู้นำกัมพูชาโพสต์มา ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะฉะนั้นสถานการณ์ความตึงเครียดอะไรต่างๆ การโพสต์ต่างๆเข้าใจว่าท่านผู้นำกัมพูชาอยู่ที่พนมเปญ คงได้รับการบอกเล่าอาจจะคลาดเคลื่อน แต่ข้อเท็จจริงไปตามที่กราบเรียน” พล.อ.ณัฐพลกล่าว

พร้อมชี้แจงความมุ่งหมายในการกดดัน คือไม่ได้กดดันด้านเศรษฐกิจแต่กดดันด้านกระบวนการอาชญากรรมชายแดนเป็นไปตามความร่วมมือกับ UNODC ในการปราบสแกรมเมอร์ ซึ่งตั้งแต่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมาพบว่าสถิติลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ประชาชนตามแนวชายแดนจะได้รับความเดือดร้อน และในฐานะเป็นรัฐบาลและรู้สึกเจ็บปวด ที่เหตุใดต้องดึงประชาชนมาเกี่ยว จึงขอให้เข้าใจว่าการบริหารสถานการณ์เป็นไปด้วยความยากมากเพราะสังคมมี 2 ฝ่าย แต่ฟังข้อมูลจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นข้อมูลที่สะเทือนใจเมื่อเด็กนักเรียนนั่งเรียนต้องระวังฟังเสียงไซเรนว่าจะดังขึ้นเมื่อไหร่ นี่คือสิ่งที่ ศบ.ทก. จะระมัดระวังไม่ทำให้เหตุการณ์บานปลาย เพราะมีความเสียหายเกิดทั้งต่อกองทัพและประชาชน และยืนยันว่ารัฐบาลเร่งรัดและพยายามทำให้การโน้มน้าวเชิญชวนกัมพูชามาเข้าสู่บรรยากาศการเจรจาแบบทวิภาคี ส่วนการคลี่คลายคดีลอบสังหารนักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชา ปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ส่วนเรื่องการประสานจัสแม็กซ์นั้น เป็นประเด็นละเอียดอ่อน ตนเป็นเลขาธิการ สมช. มาก่อน ความมั่นคงยึดถือนโยบายสมดุลย์เป็นหลัก ในการสร้างสมดุลย์ระหว่างประเทศมหาอำนาจทุกประเทศ ระมัดระวังไม่ให้ไทยไปผูกพันธ์กับประเทศใดประเทศนึง ไม่ได้เป็นการยั่วยุหรือแสดงกำลัง เป็นเพียงความร่วมมือทางการทหาร

“การที่ทางกองทัพพูดคุยกับจัสแมกซ์ ทำไมฝ่ายการเมืองถึงยับยั้ง เพราะฝ่ายการเมืองมองในเรื่องนโยบายระหว่างประเทศ การรักษาสมดุลย์ ขอบคุณที่ถามเรื่องนี้มันเป็นประเด็นสำคัญที่ย้ำว่ากองทัพไม่สามารถดำเนินการได้ตามลำพัง กองทัพต้องทำตามนโยบายรัฐบาล เพราะหากดึงอีกประเทศเข้ามาอาจทำให้เกิดปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ได้ ซึ่งเป็นแนวทางตามด้านความมั่นคง“ พล.อ.ณัฐพลกล่าว

พร้อมย้ำว่า หากยิ่งชี้แจง ก็ยิ่งเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยกองทัพและฝ่ายความมั่นคงจะต้องใช้ฝีมือมากขึ้น การไม่ขอชี้แจง ก็จะทำให้ประชาชนไม่เกิดความเข้าใจ หรือฝ่ายนิติบัญญัติไม่เข้าใจ ดังนั้นวันนี้พยามชี้แจงให้ได้มากที่สุด

ส่วนที่วิจารณ์ว่ารัฐบาลเสียรู้จากกรณีคลิปเสียง พล.อ.ณัฐพล ชี้แจงว่า ขณะนี้มีกระบวนการให้ใช้การเจรจาผ่านการประชุมคณะกรรมการเรื่องเขตแดน GBC หากทำสำเร็จ จะหารือใน 2 เรื่องคือ การเคลื่อนย้ายกำลังกลับที่ตั้งปกติ เลี่ยงความเสี่ยงเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ และยกเลิกมาตรการควบคุมตามแนวชายแดน ซึ่งมีรายละเอียดที่ไม่ลงตัวเพราะต่างฝ่ายยังระแวงจากโซเชียล

“การตอบโต้ผ่านโซเชียลกับอังเคิล นั้นไม่ได้ทำแบบทางการ และหากตอบโต้กันไปมาจะทำให้เป็นปัญหาได้ เมื่ออังเคิลบอกว่าไทยผิดฝ่ายเดียว กัมพูชาไม่ผิด จึงใช้การตอบโต้แบบชี้แจงข้อเท็จจริง นำภาพให้ดู ไม่ใช่โต้กันไปกันมา ซึ่งไม่สามารถยุติการตึงเครียดที่เกิดขึ้นได้ รัฐบาลโดย ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก กำลังดำเนินการ ขณะที่มาตรการทางการทูตรัฐบาลได้ทำผ่านกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงการทูตทางทหาร เรื่องนโยบายสมดุล” พล.อ.ณัฐพล ชี้แจง.-312.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ปะทะแล้ว บริเวณปราสาทตาเมือน หลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิง

สุรินทร์ 24 ก.ค.-ทบ.รายงานเหตุการณ์ปะทะบริเวณพื้นที่ปราสาทตาเมือน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิง เมื่อเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 07.35 น. หน่วยเฉพาะกิจที่ดูแลพื้นที่ปราสาทตาเมือนรายงานว่า ได้ยินเสียงอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินวนอยู่บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม แม้ไม่สามารถตรวจพบตัวอากาศยานได้ด้วยสายตา แต่สามารถได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้นำอาวุธเข้าสู่ที่ตั้งบริเวณด้านหน้าแนวลวดหนาม และพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือรวมทั้ง RPG เดินเข้ามาใกล้แนวลวดหนามบริเวณด้านหน้าฐานปฏิบัติการของไทย ฝ่ายไทยได้ใช้การตะโกนเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและยกระดับสถานการณ์ โดยฝ่ายไทยเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 08.20 น. ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือน ในระยะประมาณ 200 เมตร ขณะนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกองทัพบกกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากมีข้อมูลเพิ่มเติมจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ปะทะทหารไทย-เขมร ลาม 6 พื้นที่ กำลังพลเจ็บ 2 นาย

กทม. 24 ก.ค.-ด่วน! เหตุปะทะทหารไทย-เขมร ลาม 6 พื้นที่ ทบ. เผยทหารกัมพูชา เปิดแนวรบเพิ่มที่ ผามออีแดง เขาพระวิหาร ส่วนทหารไทยงัดปืนใหญ่ตอบโต้ กำลังพลเจ็บ 2 นาย เมื่อวันที่ 24 ก.ค.68 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ระบุเพิ่มเติมว่า เวลา 0920 น. กองทัพบกพบการปะทะเพิ่มเติมตลอดแนวพื้นที่ผามออีแดง ปราสาทเขาพระวิหาร พบฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากใช้อาวุธทุกชนิดและ BM21 ส่วนฝ่ายไทยเข้าปะทะตามแผนพร้อมตอบโต้ปืนใหญ่สนาม 09.20 น. เจ้าหน้าที่ทหารบาดเจ็บ 2 นาย จากอาวุธยิงสนับสนุน ในพื้นที่บริเวณกลุ่มปราสาทตาเมือน จ.สุรินทร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพื้นที่ที่มีการปะทะจำนวน 6 พื้นที่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ช่องบก เขาพระวิหาร(ห้วยตามาเรีย/ภูมะเขือ) ช่องอ่านม้า ช่องจอม.-313.-สำนักข่าวไทย

ผบ.ทบ.นำคณะลงช่องอานม้า พรุ่งนี้ จ่อใช้แผนจักรพงษ์ภูวนาถ

23 ก.ค.- “ผบ.ทบ.” สั่ง ทภ.2-ทภ.1 เตรียมพร้อม “แผนจักรพงษ์ภูวนาถ” รับมือชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมยกคณะลงพื้นที่บัญชาการ วันที่ 23 ก.ค.68 พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผข.ทบ.) ได้สั่งการไปยังกองทัพภาคที่ 2 และกองทัพภาคที่1 รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา เตรียมใช้แผนจักรพงษ์ภูวนาถ แก้ไขปัญหาพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชาหลัง กำลังพลของกองทัพบกไทยจากชุดลาดตระเวน พัน.ร.14 ประสบเหตุเหยียบกับระเบิดบริเวณห้วยบอน ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พิกัด VA 950911 ซึ่งเป็นพื้นที่ปฏิบัติการตามแนวชายแดน โดยส่งผลให้ จ่าสิบเอกพิชิตชัย บุญโคราช ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสูญเสียขาขวา และอยู่ระหว่างการส่งตัวรักษาต่อ ณ โรงพยาบาลน้ำยืน โดยให้พร้อมปฏิบัติหน้าที่ทันที เมื่อสั่งการ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (24 ก.ค.) พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พลโท ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ รองเสธ ทบ. พลโทบุญสินพาดกลาง มทภ.2 […]

“บิ๊กต่าย” อยากเคลียร์ใจครอบครัว “น้องเมย” ปมคู่กรณีได้เป็น ตร.

ตร. 23 ก.ค. – ผบ.ตร. อยากเคลียร์ใจครอบครัว “น้องเมย” ปมคู่กรณีได้เป็นตำรวจใต้บังคับบัญชาหลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 12 จังหวัดปราจีนบุรี อ่านคำพิพากษากรณีที่ ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตปริศนา หลังจากถูกธำรงวินัยโดยรุ่นพี่ทหาร 2 นาย ภายในโรงเรียนเตรียมทหาร เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ซึ่งหนึ่งในรุ่นพี่ที่เป็นจำเลย ปัจจุบันรับราชการตำรวจในภาคอีสาน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า ตนได้รับรายงานเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่อยากจะสื่อสารในประเด็นที่ 1 ตนอยากพบพ่อและแม่ของน้องเมยเป็นการส่วนตัว เพื่อจะได้พูดคุยให้เข้าใจในการปฏิบัติของตำรวจ ซึ่งเป็นประเด็นที่ 2 กรณีที่คู่กรณีเป็นตำรวจ เราต้องมองย้อนไปในขณะที่เกิดเหตุ มองถอยหลังกลับไป คู่กรณีรายดังกล่าวไม่ได้อยู่ในสถานะตำรวจ ฉะนั้นแล้วตามกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจ ปี 2565 การดำเนินการทางวินัยจะดำเนินได้เฉพาะกับผู้ที่อยู่ในสถานะตำรวจ ซึ่งขณะนั้นคู่กรณีถือว่าอยู่ภายใต้กองบัญชาการกองทัพไทย ส่วนการพิจารณาทางวินัยตำรวจของคู่กรณี ตนได้สั่งให้จเรตำรวจแห่งชาติ นำไปประกอบการพิจารณา เนื่องจากวินัยและอาญาจะสามารถเชื่อมกันได้ในข้อเท็จจริงบางส่วน […]

ข่าวแนะนำ

กองทัพบกประณามกัมพูชา โจมตีเป้าหมายพลเรือนในเขตไทย

กทม. 24 ก.ค.-กองทัพบก ประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชา กรณีใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายพลเรือนในเขตแดนไทย กองทัพบกขอประณามการกระทำอันรุนแรงและไร้มนุษยธรรมของฝ่ายกัมพูชา จากกรณีที่มีการใช้อาวุธจรวด BM-21 จำนวน 2 นัด ยิงเข้ามาในพื้นที่ชุมชนภายในศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อเวลา 09.40 น. วันนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ราษฎรได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ซึ่งฝ่ายไทยได้ดำเนินการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่โดยทันที เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกองทัพบกกำลังเฝ้าติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมมาตรการรองรับอย่างรอบด้าน ทั้งนี้ หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติม จะได้รายงานให้ทราบต่อไปโดยเร็วที่สุด.-313.-สำนักข่าวไทย

น่าน จมมาบาดาลเกือบทั้งเมืองแล้ว

น่าน 24 ก.ค.-น้ำท่วมตัวเมืองน่านวิกฤติหนัก หลังน้ำยังเพิ่มสูงบางจุดท่วมมิดชั้น 2 แล้ว และขยายวงกว้างออกไปในรัศมีเกือบ 10 กม. รวมทั้ง รพ.น่าน ที่ต้องย้ายผู้ป่วยไปที่สนามบิน น้ำท่วมตัวเมืองน่านเรียกว่าสาหัสสากรรจ์จริงๆ ตอนนี้เมืองน่านจมมาบาดาลเกือบทั้งเมืองแล้ว จากที่ประเมินเท่ากับน้ำท่วมใหญ่ปี 49 ซึ่งเป็นน้ำท่วมใหญ่รอบร้อยปี แต่ตอนนี้น่าจะหนักเกินแล้ว น้ำท่วมถึงชุมชนสวนตาล ซึ่งอยู่ห่างจากริมน้ำน่าน 4 กิโลเมตร แม้จะเห็นว่าระดับไม่สูง แต่ด้านในสูงถึงคอแล้ว การเข้าออกต้องใช้เรือเพียงอย่างเดียว และน้ำยังเพิ่มขึ้น ชาวบ้านยังเร่งอพยพข้าวของออกมา เขตเศรษฐกิจเมืองน่านไม่ต้องพูดถึงจมน้ำสูงกว่า 1 เมตร วัดวาอารามหลายแห่งถูกน้ำท่วม และยิ่งชุมชนใกล้น้ำน่านบ้านเรือนหลายพันหลังถูกน้ำท่วมสูง บางจุดน้ำท่วมถึงชั้น 2 ของบ้าน อย่างเจ้าของบ้านรายนี้ถ่ายภาพจากชั้น 2 ของบ้านย่านชุมชนบ้านพระเกิด ไม่ไกลจากโรงพยาบาลน่าน ส่งมาให้ทีมข่าว จะเห็นว่าน้ำท่วมสูงเกินรั้วบ้านและกำลังจะขึ้นชั้นสอง และมีชาวบ้านที่ติดอยู่ในบ้านกลางน้ำท่วมสูงอีกจำนวนมาก เจ้าหน้าที่พยายามจะเข้าไปช่วยแต่เรือมีจำกัดและน้ำยังไหลเชี่ยว ทำให้บางจุดยังไม่สามารถเข้าไปได้ ชาวบ้านบางส่วนต้องเดินฝ่าน้ำท่วมสูงถึงคอออกมาด้านนอก เพื่อหาอาหารและน้ำดื่ม รวมทั้งโรงพยาบาลน่านที่ถูกน้ำท่วมตั้งแต่เมื่อคืน เจ้าหน้าที่เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลบอกว่า ตอนนี้น้ำท่วมสูงมาก ตึกอาคารเก่าน้ำท่วมถึงหน้าอก แต่ผู้ป่วยในราว 3 ร้อยคนอยู่บนตึกใหม่ตั้งแต่ชั้น 2 ปลอดภัยดี […]

เปิดแผน “จักรพงษ์ภูวนารถ” ป้องกันประเทศจากภัยคุกคาม

กทม. 24 ก.ค.-เปิดแผน “จักรพงษ์ภูวนารถ” ป้องกันประเทศจากภัยคุกคามฝ่ายตรงข้าม โฆษก ทบ. ชี้ชัดเจนแล้ว กัมพูชา เป็นฝ่ายที่บีบบังคับเรา ซัดเราคงไม่ปล่อยให้ใครเอาเปรียบ หรือลอบทำร้าย จากนี้จำเป็นต้องทำในสิ่งที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด ลั่นขณะนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้! ขอให้พี่น้องคนไทย เชื่อมั่นในศักยภาพของกองทัพไทย พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุถึงแผนจักรพงษ์ภูวนารถ ที่เราเปิดปฏิบัติการ ว่าคือ แผนป้องกันประเทศ ที่กำหนดหน้าที่ของแต่ละหน่วย และกำลังทางทหาร และให้เตรียมความพร้อม เมื่อมีคำสั่ง เป็นแผนที่ได้ถูกกลั่นกรอง โดยประเมินจากสถานการณ์ และสภาพแวดล้อมในกิจการป้องกันประเทศ ในกรอบของกองทัพบก ที่ผ่านมา ในศึกเขาพระวิหาร ที่ใช้แผนนี้ ปัจจุบันขีดความสามารถกำลังรบเราเป็นอย่างไร โฆษก ทบ. ระบุพัฒนามาตามลำดับ และพิจารณาให้เหมาะสมกับภัยคุกคาม และขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้าม ป้องกันภัยคุกคามจากฝ่ายตรงข้าม ส่วนแผนหลักๆ เป็นการป้องกัน หรือรุกคืบ โฆษก ทบ. ระบุ อาจจะพูดไม่ได้ แต่โดยปกติ อันดับแรกต้องครอบคลุมอธิปไตยของเราก่อน ส่วนเป็นการซีลชายแดนหรือไม่ โฆษก ทบ. ระบุพูดง่ายๆ แผนนี้ […]

ปะทะแล้ว บริเวณปราสาทตาเมือน หลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิง

สุรินทร์ 24 ก.ค.-ทบ.รายงานเหตุการณ์ปะทะบริเวณพื้นที่ปราสาทตาเมือน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิง เมื่อเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 07.35 น. หน่วยเฉพาะกิจที่ดูแลพื้นที่ปราสาทตาเมือนรายงานว่า ได้ยินเสียงอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินวนอยู่บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม แม้ไม่สามารถตรวจพบตัวอากาศยานได้ด้วยสายตา แต่สามารถได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้นำอาวุธเข้าสู่ที่ตั้งบริเวณด้านหน้าแนวลวดหนาม และพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือรวมทั้ง RPG เดินเข้ามาใกล้แนวลวดหนามบริเวณด้านหน้าฐานปฏิบัติการของไทย ฝ่ายไทยได้ใช้การตะโกนเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและยกระดับสถานการณ์ โดยฝ่ายไทยเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 08.20 น. ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือน ในระยะประมาณ 200 เมตร ขณะนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกองทัพบกกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากมีข้อมูลเพิ่มเติมจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป.-สำนักข่าวไทย