สผ. โต้ข้อเรียกร้องให้ชะลอแก่งกระจานเป็นมรดกโลก

สผ. ชี้แจงการเตรียมเสนอขึ้นทะเบียนแก่งกระจานเป็นมรดกโลก หลังกลุ่มชาติพันธุ์ค้าน 3 ประเด็น ขอให้ชะลอการพิจารณา จากกรณีที่กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่แก่งกระจาน ได้แสดงจุดยืนยื่นหนังสือคัดค้านให้มีการชะลอการเสนอให้กลุ่มป่าแก่งกระจานขึ้นทะเบียนมรดกโลก ใน 3 ประเด็นสำคัญที่ยังเป็นข้อกังวลนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรงงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ครั้งที่ 2/2563 โดยระบุว่าประเด็นการร้องเรียนของกลุ่มชาติพันธุ์ ขอยืนยันว่าการดำเนินงานของกระทรวงฯ ให้ความสำคัญกับการดูแลชุมชน โดยการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จะไม่มีการกระทบความเป็นอยู่ของคนในชุมชน และไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อนรวมถึงที่ทำกินของคนในพื้นที่ โดยมีการลงพื้นที่พูดคุยกันมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และส่วนกลาง รวมทั้งประเทศไทยยังได้เชิญทูตจากชาติต่างๆ ลงพื้นที่ดูสภาพความเป็นอยู่ และแนวทางการปรับปรุงให้พร้อมเป็นมรดกโลก โดยได้นำเสนอข้อเท็จจริงในทุกด้าน ซึ่งทุกฝ่ายพอใจเป็นอย่างดี ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ สผ. กล่าวว่า กรณีที่ชาวบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี จำนวน 23 คน ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการมรดกโลก ผ่านสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ที่ปรึกษาของคณะกรรมการพิจารณาการขอขึ้นทะเบียนพื้นที่มรดกโลก (UNESCO) เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาของชุมชน ก่อนเดินหน้ายื่นเรื่องขอขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นผืนป่ามรดกโลก โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ประการ คือ 1.ขอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินให้กับชาวบ้านเสร็จสิ้นก่อน เพราะปัจจุบันการแก้ไขปัญหายังแทบไม่มีความคืบหน้าใด ๆ 2.ชาวบ้านบางกลอย ขอกลับไปทำไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลไทย และ 3.ชาวบ้านบางกลอยบางส่วน ต้องการกลับไปอยู่ในพื้นที่เดิม ซึ่งเคยเป็นหมู่บ้านที่เคยขึ้นทะเบียนไว้กับ มท. เพื่อกลับไปใช้ชีวิตดังเดิม โดยในข้อเรียกร้องข้อที่ 1 นั้น กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่บ้านโป่งลึก – บางกลอย ได้รับการจัดสรรที่ดินครอบครัวละ 7 ไร่ 3 งาน จำนวน 57 แปลง รวมทั้งหมด 413 ไร่ ต่อมาได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน2541 และคำสั่ง คสช.ที่ 66/2557 รวมทั้ง 2 หมู่บ้าน คือ บ้านโป่งลึก – บางกลอย มีผู้ถือครองที่ดิน จำนวน 260 ราย 337 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 1,890 ไร่ ในส่วนของราษฎรที่ขาดแคลนที่ดินทำกิน ทส. อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ปัญหาพื้นที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ปัจจุบันมีราษฎรจากบ้านบางกลอย 30 ราย และบ้านโป่งลึก 37 ราย มาทำการแจ้งการครอบครองที่ดินแล้ว ขณะที่ประเด็นที่ 2 ชาวบ้านบางกลอย ขอกลับไปทำไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับ การยอมรับจากรัฐบาลไทย ชาวบ้านบางกลอยสามารถทำไร่หมุนเวียนได้ภายในขอบเขตที่ดินของตนเองที่ผ่านการสำรวจการถือครองที่ดินในเขตอนุรักษ์ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และประเด็นที่ 3  ชาวบ้านบางกลอยบางส่วน ต้องการกลับไปอยู่ในพื้นที่เดิม ซึ่งเคยเป็นหมู่บ้านที่เคยขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงมหาดไทยเพื่อกลับไปใช้ชีวิตดังเดิม ปัจจุบัน อส. ไม่สามารถอนุญาตให้ชาวบ้านบางกลอยกลับไปทำกินในพื้นที่บริเวณบ้านใจแผ่นดิน – บางกลอยบนเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ใกล้ชายแดนไทย – เมียนมา อาจส่งกระทบทางด้านความมั่นคงของประเทศ และยากต่อการควบคุมการข้ามฝั่งไปมาของกลุ่มชาติพันธุ์ หากมีการทำการเกษตรในบริเวณดังกล่าว จะทำให้เกิดการชะล้างพังทลายของหน้าดินสูง เกิดดินสไลด์ ระบบนิเวศในบริเวณดังกล่าวซึ่งมีความเปราะบางจะถูกทำลายลง รวมถึงพื้นที่ถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าชนิดพันธุ์สำคัญที่เสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ที่มีพบร่องรอยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว เช่น ลิ่นชวา ช้างป่า เสือโคร่ง เป็นต้น อาจถูกรบกวนด้วยกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ เป็นปัญหาต่อการหาอาหาร การขยายพันธุ์ การลดลงของประชากร […]

สรุปข่าวสั้น ทันโควิด-19 (17 ธ.ค. 63)

สถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 ประเทศไทยพบผู้ป่วยรายใหม่ 20 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 4,281 ราย หายป่วยเพิ่ม 12 ราย สะสม 3,989 ราย ยังรักษาใน รพ. 232 ราย เสียชีวิตสะสม 60 ราย

แฉ มาเฟียขู่เลือก อบจ.นครฯ

รัฐสภา 17 ธ.ค. –  นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า การบริหารจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นของ กกต. ยังพบปัญหาในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราชมีพฤติกรรมค่อนข้างชัดเจน  มีผู้มีอิทธิพลจากในและภายนอกจังหวัด วิ่งขอเสียงจากประชาชนด้วยวิธีการข่มขู่ และส่งคนติดตามประกบด้วย ทำให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเกิดความเกรงกลัว ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ กกต.บางราย ก็ยอมรับว่า เกิดขึ้นจริง แต่ไม่มีกลไกใดที่จะดำเนินการได้ “ขอเรียกร้องไปยัง กกต. ให้ส่งหน่วยเฉพาะกิจลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อป้องกันการซื้อสิทธิ์ขายเสียง พร้อมจับตาบุคคลที่เคลื่อนไหวเวลากลางคืน  รวมทั้ง ขอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ส่งหน่วยคอมมานโดไปดูการเลือกตั้ง เพื่อติดตามดูผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และป้องกันไม่ให้ข่มขู่คุกคามประชาชน” นายชินวรณ์ กล่าว และว่า หากประชาชนในพื้นที่มีข้อมูล สามารถแจ้งหลักฐานเบาะแสการทุจริตได้ที่ตนเอง ซึ่งจะมีค่าตอบแทนเป็นเงินรางวัล 1 แสนบาท .-สำนักข่าวไทย

“วิรัช” ขอโทษประชุม กมธ.แก้ รธน.ล่ม

รัฐสภา 17 ธ.ค.  – นายวิรัช รัตนเศรษฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม แถลงขอโทษที่การประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม วันนี้ (17 ธ.ค.) ล่ม และย้ำว่า การแก้รัฐธรรมนูญ ที่เป็นกฎหมายสำคัญของประเทศ จะต้องพิจารณาอย่างละเอียดอ่อน เพื่อให้ทุกคนอภิปรายอย่างเต็มที่  หลังจากนี้จะเริ่มพิจารณาในรายละเอียดของสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) หากเรื่องใดเป็นประเด็นสำคัญ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ก็จะแขวนไว้ก่อน เพื่อนำไปพิจารณาลงมติในช่วงท้ายการประชุม ก่อนวันที่ 8 มกราคม 2564  และคาดว่ากลางเดือนมกราคม 2564 การพิจารณาทั้งหมดจะแล้วเสร็จ ส่วนความเห็นต่อการแก้ไขในมาตรา 256 (8) ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในหมวด 1 หมวด 2 และอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระ จะต้องผ่านการออกเสียงประชามติก่อนนั้น นายวิรัช เห็นว่า ยังจำเป็นต้องคงไว้ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  .-สำนักข่าวไทย  

สั่ง ป.ป.ช.แจงตัวเลขทุจริตยุค คสช.

ทำเนียบฯ  17 ธ.ค.-  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  กล่าวถึง รายงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่พบว่ารัฐบาลในยุค คสช. มีการทุจริตมากที่สุด ว่า ได้สอบถามข้อเท็จจริงไปแล้ว และได้รับคำชี้แจงจาก ป.ป.ช. ว่า ตัวเลขที่ออกมา เป็นยอดรวมที่มีการร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด แต่ยังไม่ได้เข้ากระบวนการตรวจสอบ จึงขอให้ทำข้อมูลชี้แจงมาอย่างชัดเจนว่า ข้อเท็จจริงมีจำนวนเท่าใด เพราะบางกรณีเป็นเรื่องการฟ้องร้องกันไปมา แต่ยอมรับ คงปฎิเสธไม่ได้ว่ายังมีคนชั่วและคนไม่ดี  ที่สามารถหาช่องทางดำเนินการโกงจนได้ ซึ่งเป็นกรรมไม่ดีของคนเหล่านี้ .-สำนักข่าวไทย  

ลุยแก้ปัญหา สวล. 3 จังหวัดภาคกลาง

สุพรรณบุรี 17 ธ.ค.63 – วราวุธ เดินหน้าขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ตั้งเป้าแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตพื้นที่ 3 จังหวัดภาคกลาง นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม โดยดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชน ทั้งปัญหาที่ดินทากิน ภัยแล้ง ปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร และน้ำอุปโภคบริโภค ปัญหาผักตบชวา กีดขวางทางน้ำ การบริหารจัดการคุณภาพน้ำดี น้ำเสีย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ซึ่งได้เร่งดำเนินการแก้ไขในทันที ส่วนปัญหาที่ไม่ได้อยู่ในความดูแลของกระทรวงฯ จะเป็นผู้ประสานงานและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดสุพรรณบุรี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการว่างงานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 จัดหางบประมาณเพื่อจ้างบุคลากรในการปลูกและพื้นฟูป่า แก้ไขปัญหาภัยแล้ง และขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร และน้ำอุปโภคบริโภค รวมทั้งเส้นทางของน้ำยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ชุมชนทั้งหมด โดยในระยะสั้น ได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจพื้นที่ประสบภัยแล้ง และตำแหน่งที่เหมาะสมกับการขุดเจาะน้ำบาดาล ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน เพื่อทำโครงการเสนอของบประมาณ ในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องชาวจังหวัดสุพรรณบุรี ติดตามโครงการระบบน้ำบาดาลทางไกล การติดตั้งหอถังน้ำ ความจุ 300,000 ลิตร […]

1 14 15 16 17 18 440