เหตุกราดยิงในโรงเรียนสหรัฐ เสียชีวิต 3 ราย

มิชิแกน 1 ธ.ค. – นักเรียนชายวัย 15 ปีก่อเหตุกราดยิงที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในเมืองออกซ์ฟอร์ดของรัฐมิชิแกนในสหรัฐเมื่อวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ทำให้มีนักเรียนเสียชีวิต 3 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 8 คน ซึ่งเป็นคุณครู 1 คน บรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษ หรือบีบีซี รายงานอ้างเจ้าหน้าที่ของทางการสหรัฐที่ระบุว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 3 รายเป็นนักเรียนชายวัย 16 ปี นักเรียนหญิงวัย 14 ปี และ 17 ปี ขณะที่ตำรวจท้องถิ่นเผยว่า ผู้ต้องสงสัยที่เป็นนักเรียนชายได้ก่อเหตุกราดยิงกระสุน 15-20 นัดด้วยปืนสั้นแบบกึ่งอัตโนมัติเพียงลำพัง แต่ยังไม่ทราบแรงจูงใจในการก่อเหตุที่แน่ชัด เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของโอคแลนด์ เคาน์ตี ของรัฐมิชิแกน แถลงที่บริเวณหน้าโรงเรียนออกซ์ฟอร์ด ไฮสคูล ในเมืองออกซ์ฟอร์ด ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองดีทรอยต์ราว 65 กิโลเมตร ว่า ได้รับแจ้งเหตุฉุกเฉินตั้งแต่เวลา 12.51 น. ในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น โดยมีผู้โทรศัพท์แจ้งเหตุที่หมายเลขฉุกเฉินมากถึง 100 สายภายในเวลาไม่กี่นาที ทั้งยังระบุว่า ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุกราดยิง ซึ่งเป็นนักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง […]

ฟิลิปปินส์เลื่อนให้ นทท. ฉีดวัคซีนครบเข้าประเทศสกัดโอไมครอน

มะนิลา 29 พ.ย. – ฟิลิปปินส์ประกาศเลื่อนการอนุญาตให้ผู้เดินทางต่างชาติที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดครบโดสเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัวออกไปชั่วคราว เพื่อป้องกันเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนที่กลายพันธุ์หลายจุดเข้ามาระบาดในประเทศ เพราะมีประชากรฉีดวัคซีนครบโดสเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น หัวหน้าสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของฟิลิปปินส์เผยวันนี้ว่า คณะกรรมการเฉพาะกิจด้านโรคโควิด-19 ของรัฐบาลฟิลิปปินส์เห็นควรว่าจำเป็นที่จะต้องเลื่อนการอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสเดินทางเข้าประเทศเป็นการชั่วคราว เนื่องจากความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นทั่วโลกจากการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ขณะที่สำนักข่าวซีเอ็นเอของสิงคโปร์รายงานว่า การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ฟิลิปปินส์ประกาศตั้งเป้าฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดให้ประชาชน 9 ล้านคนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปภายใน 3 วันในวันนี้ ก่อนหน้านี้ รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสจากประเทศที่ฟิลิปปินส์จัดให้อยู่ในระดับเสี่ยงติดเชื้อโควิดต่ำเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัวตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาด อย่างไรก็ดี ฟิลิปปินส์ยังคงไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนในประเทศ และคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านโรคโควิด-19 ได้ประกาศระงับเที่ยวบินจาก 7 ประเทศในทวีปยุโรปในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้ประกาศระงับเที่ยวบินจากหลายประเทศในทวีปแอฟริกา ขณะนี้ ฟิลิปปินส์มียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 2.8 ล้านคน และผู้เสียชีวิตกว่า 48,000 คน. -สำนักข่าวไทย

สกอตแลนด์เจอคนติดโอไมครอนทั้งที่ไม่ได้เดินทาง

เอดินเบอระ 29 พ.ย.- สกอตแลนด์แจ้งพบผู้ติดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนแล้ว 6 รายในวันนี้ บางรายไม่มีประวัติการเดินทาง จุดกระแสวิตกว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้อาจแพร่อยู่ในสกอตแลนด์แล้ว   นายจอห์น สวินนีย์ รองนายกรัฐมนตรีสกอตแลนด์เผยกับสถานีวิทยุของบรรษัทกระจายเสียงและแพร่ภาพแห่งอังกฤษหรือบีบีซี (BBC) ในวันนี้ว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนแล้ว 6 คน ในจำนวนนี้บางคนไม่มีประวัติการเดินทางหรือเกี่ยวข้องกับการเดินทางมาจากประเทศทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา จึงมีความเป็นไปได้ว่าเชื้อกำลังแพร่อยู่ในชุมชนแล้ว สหราชอาณาจักรซึ่งประกอบด้วยอังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือได้จำกัดการเดินทางไปยังตอนใต้ของทวีปแอฟริกาทั้งหมดแล้ว หลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อนประเทศแอฟริกาใต้พบสายพันธุ์โอไมครอนเป็นแห่งแรก นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของอังกฤษออกมาตรการบังคับสวมหน้ากากอนามัยในร้านค้าและรถโดยสารสาธารณะ รวมทั้งขอให้คณะกรรมการร่วมเรื่องการฉีดวัคซีนและการสร้างภูมิต้านทานเร่งพิจารณาเรื่องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิให้แก่ผู้มีอายุต่ำกว่า 40 ปี และหาทางลดระยะห่างระหว่างการฉีดวัคซีนเข็ม 2 และเข็มกระตุ้นภูมิ.-สำนักข่าวไทย

อนามัยโลกเตือนทั่วโลกเสี่ยงโควิดโอไมครอนสูงมาก

เจนีวา 29 พ.ย. – องค์การอนามัยโลกระบุวันนี้ว่า เชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนมีแนวโน้มที่จะแพร่ระบาดไปทั่วโลก และทำให้เกิดความเสี่ยงสูงมากทั่วโลก อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดการระบาดรุนแรงในบางประเทศ องค์การอนามัยโลกประกาศคำแนะนำทางเทคนิคให้แก่ประเทศสมาชิก 194 ประเทศทั่วโลก โดยเรียกร้องให้แต่ละประเทศเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดให้แก่ประชาชนที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิดสูง และสร้างความมั่นใจว่ายังคงใช้แผนแนวทางป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อปกป้องบริการสาธารณสุขที่จำเป็น ทั้งยังระบุเพิ่มเติมว่า เชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนมีการกลายพันธุ์ของโปรตีนบนส่วนหนามของไวรัสเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อวิถีของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ความเสี่ยงของเชื้อดังกล่าวทั่วโลกในภาพรวมจึงได้รับการประเมินให้อยู่ในระดับเสี่ยงสูงมาก องค์การอนามัยโลกยังระบุว่า ทั่วโลกจำเป็นต้องศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนให้มากขึ้นเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการที่เชื้อจะหลบหลีกภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนและการติดเชื้อในครั้งก่อน ๆ โดยคาดว่าจะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์หน้า ขณะนี้ เชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนได้แพร่ระบาดไปยังหลายประเทศทั่วโลกแล้ว เช่น อังกฤษ เยอรมนี ออสเตรเลีย และอิสราเอล. -สำนักข่าวไทย

นายกฯ หญิงคนแรกของสวีเดนมีโอกาสได้รับแต่งตั้งอีกครั้ง

สตอกโฮล์ม 29 พ.ย.- นางมักดาเลนา อันเดร์ซอน หัวหน้าพรรคสังคมประชาธิปไตย มีโอกาสจะได้รับแต่งตั้งจากรัฐสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของสวีเดนอีกครั้งในวันนี้  หลังจากได้รับแต่งตั้งไปเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนแต่ต้องลาออกในเวลาไม่กี่ชั่วโมงโดยที่ยังไม่ได้รับตำแหน่ง รัฐสภาจะประชุมในเวลา 13:00 น.วันนี้ตามเวลาสวีเดน ตรงกับเวลา 19:00 น.วันนี้ตามเวลาในไทย และคาดว่าจะแต่งตั้งให้นางอันเดร์ซอน วัย 54 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังมาตั้งแต่ปี 2557 เป็นผู้นำรัฐบาลเสียงข้างน้อย ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกันยายน 2565 พรรคสังคมประชาธิปไตยของเธอมีที่นั่งในสภาเพียง 100 ที่นั่งจากทั้งหมด 349 ที่นั่ง และต้องบริหารประเทศด้วยงบประมาณที่ร่างขึ้นโดยฝ่ายค้าน สวีเดนขึ้นชื่อเรื่องชูความเสมอภาคทางเพศ แต่ยังไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีหญิงแม้แต่คนเดียว ที่ผ่านมาการเมืองสวีเดนมีเสถียรภาพเพราะพรรคสังคมประชาธิปไตย สายกลางซ้าย ครองอำนาจมาเกือบศตวรรษ ความวุ่นวายทางการเมืองเกิดขึ้นเมื่อนางอันเดร์ซอนตกลงในนาทีสุดท้ายกับพรรคเลฟปาร์ตีเรื่องเพิ่มเงินบำนาญให้ผู้เกษียณยากจน แลกกับการที่พรรคนี้จะไม่ขัดขวางการเลือกเธอเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้พรรคเซ็นเตอร์ฟาร์ตี้ไม่พอใจ และถอนการสนับสนุนร่างงบประมาณของเธอ เป็นเหตุให้สภาต้องให้ความเห็นชอบร่างงบประมาณของฝ่ายค้านที่ประกอบด้วยพรรคฝ่ายขวาและพรรคขวาจัด ต่อมาพรรคกรีนซึ่งไม่ยอมรับร่างของฝ่ายค้าน ประกาศลาออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้นางอันเดร์ซอนต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนถึงกำหนดรับตำแหน่งในวันที่ 26 พฤศจิกายน.-สำนักข่าวไทย

เผยเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ปฏิเสธเรื่องหวั่นสีผิวอาร์ชี

ลอนดอน 29 พ.ย. – โฆษกของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ เผยในวันนี้ว่า ข้อกล่าวหาในหนังสือเล่มหนึ่งที่ระบุว่า เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงตั้งคำถามเกี่ยวกับสีผิวของอาร์ชี พระโอรสของเจ้าชายแฮร์รีและเมแกน นั้นไม่เป็นความจริง สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า หนังสือเรื่อง ‘บราเธอร์ส แอนด์ ไวฟส์: อินไซด์ เดอะ ไพรเวท ไลฟส์ ออฟ วิลเลียม เคต แฮร์รี แอนด์ เมแกน’ (Brothers And Wives: Inside The Private Lives of William, Kate, Harry and Meghan) ที่เขียนโดยคริสโตเฟอร์ แอนเดอร์เซน นักข่าวและนักเขียนชาวอเมริกัน ระบุว่า เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงเป็นผู้ตั้งคำถามเกี่ยวกับสีผิวของอาร์ชี ขณะที่โฆษกของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นและไม่ควรค่าต่อการแสดงความคิดเห็น เว็บไซต์ข่าวเพจซิกซ์ สื่อบันเทิงชื่อดังของสหรัฐ รายงานว่า หนังสือเล่มดังกล่าวอ้างบทสนทนาระหว่างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และคามิลลา พระชายา ในช่วงเช้าวันจัดพิธีหมั้นหมายของเจ้าชายแฮร์รีกับเมแกนในปี 2560 โดยที่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ได้ตรัสว่า พระองค์ทรงสงสัยว่าพระนัดดาจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร […]

ฮอนดูรัสจะมี ปธน.หญิงคนแรกของประเทศ

เตกูซิกัลปา 29 พ.ย.- นางเซียวมารา กาสโตร ผู้นำฝ่ายค้านฮอนดูรัส ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น เมื่อผลคะแนนเบื้องต้นชี้ว่าเธอชนะถล่มทลาย และจะได้เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศในอเมริกากลางแห่งนี้ นางกาสโตร วัย 62 ปี เป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของประธานาธิบดีมานูเอล เซลายา ที่ถูกกองทัพยึดอำนาจในปี 2552 ผลนับคะแนนที่นับไปแล้วร้อยละ 45 จนถึงขณะนี้ชี้ว่า เธอมีคะแนนทิ้งห่างนายนาสรี อัสฟูรา วัย 63 ปี นายกเทศมนตรีกรุงเตกูซิกัลปา ผู้เป็นความหวังของพรรคเนชันนัลที่เป็นรัฐบาลด้วยคะแนนร้อยละ 53 ต่อ 34 นางกาสโตรประกาศต่อผู้สนับสนุนว่า ได้ทำให้ระบอบเบ็ดเสร็จถอยออกไปจากฮอนดูรัสแล้ว เธอจะตั้งรัฐบาลแห่งความปรองดอง สันติ และยุติธรรม ขณะเดียวกันจะเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในประชาธิปไตยโดยตรงด้วยการจัดลงประชามติ ว่าที่ประธานาธิบดีหญิงคนแรกของฮอนดูรัสถูกบางฝ่ายวิจารณ์ว่า มีแนวคิดซ้ายจัดอย่างเป็นอันตราย แต่แกนนำภาคธุรกิจกลับแสดงความยินดีกับเธออย่างรวดเร็ว และพร้อมให้ความร่วมมือเพื่อให้รัฐบาลของเธอเป็นตัวอย่างของการปฏิรูป นางกาสโตรหาเสียงชูนโยบายกวาดล้างการทุจริต เธอเคยลงเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2556 แต่พ่ายให้แก่นายฮวน ออร์ลันโด เออร์นันเดซ ซึ่งขณะนี้มีคะแนนนิยมตกต่ำ หลังจากแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเอื้อให้ตนเองได้รับเลือกตั้งอีกสมัยในปี 2560 ทั้งที่ถูกครหาเรื่องฉ้อโกง นายเออร์นันเดซถูกศาลรัฐบาลกลางสหรัฐพาดพิงในคดีค้ายาเสพติด แต่ยืนกรานว่าไม่ได้ทำผิด ส่วนการเลือกตั้งสมาชิกสภาฮอนดูรัสที่จัดขึ้นพร้อมกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ยังไม่มีผลคะแนนเบื้องต้น หากพรรคเนชันนัลยังคงครองเสียงข้างมาก […]

พจนานุกรมเมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ยก “วัคซีน” เป็นศัพท์แห่งปี 2564

นิวยอร์ก 29 พ.ย. – เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ พจนานุกรมภาษาอังกฤษเก่าแก่ของสหรัฐ ประกาศให้คำว่า ‘วัคซีน’ (vaccine) เป็นคำศัพท์แห่งปี 2564 พร้อมเพิ่มความหมายของคำให้กว้างขวางยิ่งขึ้นเพื่อสะท้อนยุคสมัย ปีเตอร์ โซโคลอฟสกี บรรณาธิการบริหารของเมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ เผยกับสำนักข่าวเอพีก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่นว่า วัคซีนเป็นคำที่มีการค้นหาอยู่ในระดับสูงมากในทุก ๆ วันของปี 2564 คำนี้สะท้อนให้เห็นถึงสองประเด็นที่แตกต่างกัน ประเด็นแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาวัคซีนได้อย่างรวดเร็วและน่าทึ่ง ประเด็นที่สองเป็นการถกเถียงกันในเรื่องนโยบาย การเมือง และความร่วมมือทางการเมือง วัคซีนจึงเป็นคำที่เก็บความหมายของประเด็นทั้งสองเรื่องใหญ่เข้าด้วยกัน เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ยังมีคำอื่น ๆ ที่ได้รับการค้นหาในอันดับรองลงมาในปีนี้ เช่น ‘จลาจล’ (insurrection) ที่ได้รับความสนใจหลังเกิดเหตุกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บุกรุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาเพื่อพยายามขัดขวางไม่ให้ที่ประชุมรัฐสภารับรองชัยชนะของประธานาธิบดีโจ ไบเดน และคำว่า ‘เพอร์เซเวียแรนซ์’ (Perseverance) ซึ่งเป็นชื่อยานสำรวจดาวอังคารล่าสุดขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ หรือนาซา ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ยังได้เพิ่มความหมายของคำว่า วัคซีน ในเว็บไซต์พจนานุกรมออนไลน์ เพื่อให้มีความหมายครอบคลุมไปถึงวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ เช่น วัคซีนป้องกันโรคโควิดที่พัฒนาโดยไฟเซอร์/ไบออนเทค และโมเดอร์นา เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกคำแห่งปีโดยอ้างอิงจากข้อมูลการค้นหา การติดตามยอดการค้นหาที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงการเปรียบเทียบตัวเลขที่เพิ่มขึ้นแบบปีต่อปี ซึ่งแตกต่างจากพจนานุกรมชื่อดังรายอื่น ๆ ที่มักตั้งคณะกรรมการเป็นผู้คัดเลือกคำแห่งปี […]

ญี่ปุ่นงดให้ต่างชาติเข้าประเทศตั้งแต่ 30 พ.ย.

โตเกียว 29 พ.ย.- ญี่ปุ่นนำมาตรการงดให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศกลับมาใช้อีกครั้ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน เพราะกังวลเรื่องเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์โอไมครอน เว็บไซต์บรรษัทกระจายเสียงและแพร่ภาพญี่ปุ่นหรือเอ็นเอชเค (NHK) รายงานว่า นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะแถลงในวันนี้ว่า ตัดสินใจใช้มาตรการจำกัดการเข้าประเทศกับชาวต่างชาติจากทุกประเทศทั่วโลกเริ่มตั้งแต่วันอังคารนี้ เป็นมาตรการฉุกเฉินเพื่อเลี่ยงไม่ให้ญี่ปุ่นเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด โดยจะใช้เป็นการชั่วคราว จนกว่าผู้เชี่ยวชาญจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความรุนแรงของสายพันธุ์โอไมครอนมากขึ้น ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่กำลังวิเคราะห์พันธุกรรมเชื้อไวรัสของผู้เดินทางมาจากนามิเบียคนหนึ่งว่าเป็นสายพันธุ์โอไมครอนหรือไม่ และจะเข้มงวดมาตรการจำกัดชาวญี่ปุ่นกลับประเทศที่เดินทางมาจากประเทศที่ยืนยันว่าพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้ ด้วยการให้กักโรคในสถานที่ที่ทางการกำหนดเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นเพิ่งผ่อนคลายมาตรการเข้าประเทศให้แก่ชาวต่างชาติที่เป็นนักธุรกิจ นักศึกษา และผู้ฝึกงานทางเทคนิค สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นยกระดับเฝ้าระวังไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนเป็นระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล.-สำนักข่าวไทย

ฟิลิปปินส์จะระดมฉีดวัคซีนโควิด 9 ล้านคนให้ได้ใน 3 วัน

มะนิลา 29 พ.ย.- ฟิลิปปินส์เปิดตัวโครงการรณรงค์เร่งฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ประชาชน 9 ล้านคน ให้ได้ภายใน 3 วัน พร้อมกับส่งเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงและอาสาสมัครจำนวนมากไปช่วยดำเนินโครงการ โครงการที่เปิดตัววันนี้ลดเป้าหมายลงจากเดิมที่ตั้งเป้าจะฉีดวัคซีนประชาชน 15 ล้านคน ให้ได้ภายใน 3 วัน แต่ยังคงถือว่าเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ในประเทศที่ยังมีคนลังเลที่จะฉีดวัคซีน และมีอุปสรรคด้านโลจิสติกส์ในการเข้าถึงประชาชนที่กระจัดกระจายตามเกาะแก่งต่าง ๆ เป้าหมายการฉีดวัคซีนให้ได้วันละ 3 ล้านโดส คิดเป็นเกือบ 4 เท่าของอัตราฉีดเฉลี่ยวันละ 829,000 โดสในเดือนพฤศจิกายนนี้ เจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์ระบุว่า ข่าวการพบเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนในหลายประเทศทำให้โครงการระดมฉีดวัคซีนมีความเร่งด่วนมากยิ่งขึ้น รัฐบาลจะส่งอาสาสมัคร 160,000 คน ไปยังศูนย์ฉีดวัคซีน 11,000 แห่งทั่วประเทศตลอดโครงการฉีดวัคซีน 3 วันนี้ ประชากรฟิลิปปินส์ 110 ล้านคนฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเพียง 35 ล้าน 6 แสนคน หรือราว 1 ใน 3 แต่หากแยกดูเป็นพื้นที่ คนในเขตมหานครมะนิลาฉีดครบโดสแล้วมากถึงร้อยละ 93 แต่คนในชุมชนมุสลิมทางตอนใต้ของประเทศฉีดเพียงร้อยละ […]

ผู้นำแอฟริกาใต้ตำหนินานาชาติใช้คำสั่งระงับเดินทาง

พริทอเรีย 29 พ.ย. – ประธานาธิบดีซีริล รามาโฟซา ของแอฟริกาใต้ กล่าวตำหนินานาชาติที่ใช้คำสั่งระงับการเดินทางจากแอฟริกาใต้และประเทศใกล้เคียง เพราะยังไม่มีหลักฐานที่หนักแน่นพอเกี่ยวกับเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หลังพบเชื้อดังกล่าวเป็นครั้งแรกในแอฟริกาใต้ ประธานาธิบดีรามาโฟซากล่าวคำปราศรัยเมื่อวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่นว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นพอต่อการใช้คำสั่งระงับการเดินทาง และทำให้แอฟริกาใต้ตกเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากการถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เขายังแย้งว่าคำสั่งดังกล่าวจะไม่ได้ผลในการป้องกันการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน แต่จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบ และทำให้ประเทศเหล่านั้นไม่อาจรับมือหรือฟื้นตัวจากการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ประธานาธิบดีรามาโฟซายังเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ที่ใช้คำสั่งระงับการเดินทางจากแอฟริกาใต้รีบยกเลิกคำสั่งดังกล่าวโดยด่วนก่อนที่แอฟริกาใต้จะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจไปมากกว่านี้ เขายังระบุเพิ่มเติมว่า การอุบัติขึ้นของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเป็นสัญญาณเตือนทั่วโลกให้เห็นถึงปัญหาความไม่เท่าเทียมด้านวัคซีนป้องกันโรคโควิด พร้อมทั้งเตือนว่าการเกิดเชื้อโควิดกลายพันธุ์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จนกว่าทุกคนจะได้รับการฉีดวัคซีน ประธานาธิบดีรามาโฟซายังได้เรียกร้องให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น โดยระบุว่า แอฟริกาใต้ไม่ได้ประสบปัญหาขาดแคลนวัคซีนโควิด และการฉีดวัคซีนเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการรับมือกับโรคโควิด-19 ก่อนหน้านี้ หลายประเทศทั่วโลก เช่น อังกฤษ สหรัฐ และสหภาพยุโรป ได้ประกาศใช้คำสั่งระงับการเดินทางจากแอฟริกาใต้และประเทศใกล้เคียง หลังแอฟริกาใต้เปิดเผยว่าพบเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเป็นครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ก่อน ขณะที่องค์การอนามัยโลกจัดให้เชื้อดังกล่าวอยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่าวิตกกังวล นอกจากนี้ เชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนยังได้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศทั่วโลก เช่น อังกฤษ เยอรมนี ออสเตรเลีย และอิสราเอล. -สำนักข่าวไทย

ญี่ปุ่นเฝ้าระวังสายพันธุ์โอไมครอนเป็นระดับสูงสุด

โตเกียว 29 พ.ย.- ญี่ปุนยกระดับการเฝ้าระวังเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์โอไมครอน เป็นระดับสูงสุด เนื่องจากพบการระบาดในหลายประเทศ ขณะที่แหล่งข่าวรัฐบาลเผยว่า ญี่ปุ่นเตรียมปิดประเทศไม่รับชาวต่างชาติเข้าประเทศรายใหม่ เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เจแปนไทมส์รายงานว่า สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นยกระดับเฝ้าระวังเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนจากระดับ 2 คือ สายพันธุ์ที่ต้องสนใจ เป็นระดับ 3 คือ สายพันธุ์ที่น่ากังวล เช่นเดียวกับสายพันธุ์เดลตา ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดเมื่อวันศุกร์ให้สายพันธุ์โอไมครอนเป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติของญี่ปุ่นระบุว่า สายพันธุ์โอไมครอนมีการกลายพันธุ์ที่โปรตีนหนามแหลมสำหรับจับเซลล์มนุษย์ราว 30 จุด ซึ่งอาจทำให้แพร่เชื้อได้ง่ายขึ้นและต้านทานวัคซีนได้มากขึ้น เจแปนไทมส์รายงานอ้างแหล่งข่าวในรัฐบาลวันนี้ว่า ไวรัสสายพันธุ์นี้ทำให้ญี่ปุ่นเตรียมปิดพรมแดนไม่รับชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศรายใหม่ทั้งหมด รวมทั้งนักธุรกิจ นักศึกษา และผู้ฝึกงาน ยกเว้นชาวต่างชาติที่เป็นผู้พำนักอาศัยที่จะเดินทางกลับเข้ามา และว่านายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะจะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในบ่ายวันนี้ ส่วนเมื่อวานนี้ญี่ปุ่นได้เพิ่มชื่อโมซัมบิก มาลาวีและแซมเบียไว้ในรายชื่อประเทศที่ต้องเข้มงวดการเดินทางเข้ามา หลังจากเมื่อวันเสาร์กำหนดให้ผู้เดินทางมาจาก 6 ประเทศทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกาประกอบด้วย บอตสวานา เอสวาตีนี เลโซโท นามิเบีย แอฟริกาใต้ และซิมบับเว ต้องกักโรคในสถานที่ของรัฐบาลเป็นเวลา 10 วัน โดยต้องตรวจหาเชื้อในวันที่ 3 วันที่ 6 และ วันที่ 10 […]

1 154 155 156 157 158 315