พริทอเรีย 29 พ.ย. – ประธานาธิบดีซีริล รามาโฟซา ของแอฟริกาใต้ กล่าวตำหนินานาชาติที่ใช้คำสั่งระงับการเดินทางจากแอฟริกาใต้และประเทศใกล้เคียง เพราะยังไม่มีหลักฐานที่หนักแน่นพอเกี่ยวกับเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หลังพบเชื้อดังกล่าวเป็นครั้งแรกในแอฟริกาใต้
ประธานาธิบดีรามาโฟซากล่าวคำปราศรัยเมื่อวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่นว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นพอต่อการใช้คำสั่งระงับการเดินทาง และทำให้แอฟริกาใต้ตกเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากการถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เขายังแย้งว่าคำสั่งดังกล่าวจะไม่ได้ผลในการป้องกันการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน แต่จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบ และทำให้ประเทศเหล่านั้นไม่อาจรับมือหรือฟื้นตัวจากการระบาดของโรคโควิด-19 ได้
ประธานาธิบดีรามาโฟซายังเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ที่ใช้คำสั่งระงับการเดินทางจากแอฟริกาใต้รีบยกเลิกคำสั่งดังกล่าวโดยด่วนก่อนที่แอฟริกาใต้จะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจไปมากกว่านี้ เขายังระบุเพิ่มเติมว่า การอุบัติขึ้นของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเป็นสัญญาณเตือนทั่วโลกให้เห็นถึงปัญหาความไม่เท่าเทียมด้านวัคซีนป้องกันโรคโควิด พร้อมทั้งเตือนว่าการเกิดเชื้อโควิดกลายพันธุ์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จนกว่าทุกคนจะได้รับการฉีดวัคซีน ประธานาธิบดีรามาโฟซายังได้เรียกร้องให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น โดยระบุว่า แอฟริกาใต้ไม่ได้ประสบปัญหาขาดแคลนวัคซีนโควิด และการฉีดวัคซีนเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการรับมือกับโรคโควิด-19
ก่อนหน้านี้ หลายประเทศทั่วโลก เช่น อังกฤษ สหรัฐ และสหภาพยุโรป ได้ประกาศใช้คำสั่งระงับการเดินทางจากแอฟริกาใต้และประเทศใกล้เคียง หลังแอฟริกาใต้เปิดเผยว่าพบเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเป็นครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ก่อน ขณะที่องค์การอนามัยโลกจัดให้เชื้อดังกล่าวอยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่าวิตกกังวล นอกจากนี้ เชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนยังได้แพร่กระจายไปยังหลายประเทศทั่วโลก เช่น อังกฤษ เยอรมนี ออสเตรเลีย และอิสราเอล. -สำนักข่าวไทย