ผู้นำฮ่องกงไม่ยอมรับเรื่องเสรีภาพสื่อเสี่ยงสูญพันธุ์

ฮ่องกง 4 ม.ค.- นางแคร์รี หล่ำ ผู้บริหารฮ่องกงเผยว่า ไม่สามารถยอมรับความคิดเห็นที่ว่าเสรีภาพสื่อมวลชนในฮ่องกงเสี่ยงสูญพันธุ์ หลังจากตำรวจบุกจับกุมคนทำงานสื่อ 7 คนเมื่อไม่กี่วันก่อน นางหล่ำกล่าวในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ในวันนี้ว่า เช้านี้ได้อ่านข่าวเกี่ยวกับเว็บไซต์ข่าวแห่งหนึ่งปิดตัวว่า เสรีภาพสื่อมวลชนในฮ่องกงเสี่ยงสูญพันธุ์ เธอไม่สามารถยอมรับความคิดเห็นประเภทนี้ได้ และไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าหลักนิติธรรม นางหล่ำกล่าวเรื่องนี้หลังจากเว็บไซต์ข่าวซิติเซนนิวส์ (Citizen News) ประกาศว่า จะหยุดขึ้นข่าวใหม่ในหน้าเว็บไซต์ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม และจะปิดตัวหลังจากนั้น เป็นสื่อด้านข่าวรายที่ 3 ในฮ่องกงที่จะปิดตัว ตามหลังหนังสือพิมพ์แอปเปิลเดลีที่ปิดตัวไปในเดือนมิถุนายนเพราะถูกทางการอายัดทรัพย์สิน และเว็บไซต์ข่าวสแตนนิวส์ที่ประกาศปิดตัวเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม วันเดียวกับที่ทีมงานทั้งอดีตและปัจจุบัน 7 คนถูกตำรวจบุกจับกุมข้อหาคบคิดกันเผยแพร่สิ่งพิมพ์ปลุกระดม ฮ่องกงกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของจีนในปี 2540 โดยรับปากว่าจะปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนรวมทั้งสื่อมวลชนดังที่เป็นมา แต่กลุ่มสิทธิและรัฐบาลตะวันตกแย้งว่า เสรีภาพสื่อมวลชนในฮ่องกงย่ำแย่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับจากที่รัฐบาลจีนใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติกับฮ่องกงในปี 2563.-สำนักข่าวไทย

Apple เป็นบริษัทอเมริกันแห่งแรกที่มูลค่าทะลุ 3 ล้านล้าน

วอชิงตัน 4 ม.ค. – แอปเปิล อิงค์ บริษัทผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายใหญ่ของโลก กลายเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันแห่งแรกที่มีมูลค่าการตลาดแตะระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (100 ล้านล้านบาท) ขณะที่นักลงทุนเชื่อมั่นว่าแอปเปิลจะยังคงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดและเดินหน้าสำรวจตลาดใหม่ เช่น ธุรกิจรถยนต์ไร้คนขับและเทคโนโลยีเมตาเวิร์ส (metaverse) สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า หุ้นของแอปเปิลพุ่งแตะระดับ 182 ดอลลาร์สหรัฐ (6,000 บาท) ซึ่งทำสถิติสูงสุด ในระหว่างการซื้อขายวันแรกของปีนี้ ทำให้แอปเปิลกลายเป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่าการตลาดทะลุ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่นักลงทุนคาดหมายว่า ผู้บริโภคจะยังคงยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อไอโฟน แมคบุ๊ก และบริการอื่น ๆ เช่น แอปเปิลทีวี และแอปเปิลมิวสิค ส่วนนักวิเคราะห์ของเวดบุช ซีเคียวริตีส์ บริษัทหลักทรัพย์ชื่อดังของสหรัฐ กล่าวว่า การที่แอปเปิลกลายเป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่าการตลาดทะลุ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จจากการบริหารงานของทิม คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอคนปัจจุบันของแอปเปิล ก่อนหน้านี้ หุ้นของแอปเปิลเคยมีมูลค่าการตลาดอยู่ในระดับ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (66 ล้านล้านบาท) เช่นเดียวกับไมโครซอฟท์ คอร์ป ที่ขณะนี้มีมูลค่า 2.53 […]

เผยโอไมครอนอาจเป็นสายพันธุ์หลักในฟิลิปปินส์สิ้นเดือนนี้

มะนิลา 4 ม.ค. – ฟิลิปปินส์มีแนวโน้มพบยอดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 พุ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนที่อาจกลายเป็นสายพันธุ์หลักของฟิลิปปินส์ภายในสิ้นเดือนนี้ คณะนักวิจัยอิสระระบุว่า ยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิดในฟิลิปปินส์กำลังพุ่งสูงขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับยอดผู้ป่วยติดเชื้อในช่วงปลายปีที่ผ่านมาที่เกิดจากการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา ทั้งยังระบุว่า เชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนมีอัตราการแพร่ระบาดในฟิลิปปินส์แตะระดับ 4 แล้วทั้งที่เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนมีอัตราแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าวต่ำกว่าระดับ 1 ทั้งนี้ อัตราแพร่ระบาดระดับ 1 หมายถึงสามารถควบคุมการระบาดของเชื้อโควิดได้ ส่วนช่วงที่สายพันธุ์เดลตาแพร่ระบาดสูงสุดในฟิลิปปินส์อัตราอยู่ที่ระดับ 2 ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูงของฟิลิปปินส์ กล่าวว่า เชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนอาจกลายเป็นสายพันธุ์หลักของฟิลิปปินส์ในอีก 3-4 สัปดาห์หน้าแทนเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา ส่วนกระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์รายงานเมื่อวันจันทร์ว่า เชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนมีสัดส่วนการระบาดเกือบร้อยละ 30 ของผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่ นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ยังพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่เมื่อวันอาทิตย์มากถึง 4,600 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากวันที่ 25 ธันวาคมที่มีต่ำกว่า 500 คนเท่านั้น ขณะที่เมื่อวันจันทร์พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่ 4,084 คน แต่กระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์ระบุว่า ตัวเลขที่ลดลงเล็กน้อยเป็นผลมาจากห้องปฏิบัติการ 21 แห่งที่ส่งผลตรวจหาเชื้อโควิดไม่ทัน ขณะนี้ ฟิลิปปินส์มียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมราว 2.85 […]

นายกฯเฮติรอดจากถูกลอบสังหาร

ปอร์โตแปรงซ์ 4 ม.ค.- สำนักนายกรัฐมนตรีเฮติแถลงว่า นายกรัฐมนตรีแอเรียล อองรี ถูกมือปืนพยายามลอบสังหารแต่ไม่สำเร็จ ระหว่างร่วมงานฉลองวันประกาศเอกราชของเฮติเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา สำนักนายกรัฐมนตรีแถลงเมื่อวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่นว่า กลุ่มโจรและกลุ่มก่อการร้ายพยายามลอบยิงนายกรัฐมนตรี ขณะร่วมงานฉลองวันประกาศเอกราชครบ 218 ปี ภายในโบสถ์แห่งหนึ่งของเมืองโกนาอีฟส์ ทางตอนเหนือของประเทศ ทางการได้ออกหมายจับผู้ต้องสงสัยแล้ว คลิปที่ออกอากาศทางสื่อสังคมออนไลน์เห็นนายกรัฐมนตรีและคณะผู้ติดตามรีบวิ่งไปยังขบวนรถขณะที่กลุ่มมือปืนเริ่มยิงจากด้านนอกโบสถ์ ตำรวจเฮติระบุว่า เหตุลอบสังหารเมื่อวันเสาร์เป็นฝีมือของกลุ่มติดอาวุธแต่ยังไม่สามารถยืนยันยอดผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บได้ ด้านสื่อรายงานว่า มีคนเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 2 คน สันนิษฐานว่า เป็นฝีมือของแก๊งอาชญากร เพราะหัวหน้าแก๊งคนหนึ่งเคยข่มขู่นายกรัฐมนตรีผ่านสื่อก่อนเกิดเหตุ แก๊งเหล่านี้ยึดครองพื้นที่บางส่วนของประเทศและมีกำลังแข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่เกิดเหตุลอบสังหารประธานาธิบดีโฌฟเนล โมอิส วัย 53 ปี เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมปีก่อน ต่อมานายกรัฐมนตรีอองรี วัย 72 ปี สาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 กรกฎาคม และยังไม่กำหนดวันเลือกตั้งประธานาธิบดีแต่อย่างใด.-สำนักข่าวไทย

อียูพร้อมใช้มาตรการลงโทษเมียนมาเพิ่มจากเหตุสังหารหมู่

บรัสเซลส์ 30 ธ.ค.-สหภาพยุโรป หรืออียู เตรียมประกาศใช้มาตรการลงโทษเมียนมาเพิ่มเติม หลังเกิดเหตุสังหารหมู่ที่รัฐกะยาของเมียนมาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม หรือตรงกับวันคริสต์มาสอีฟ และเรียกร้องให้นานาชาติหยุดจำหน่ายอาวุธให้เมียนมา นายโจเซฟ บอร์เรลล์ หัวหน้านโยบายต่างประเทศของอียู ระบุในแถลงการณ์วันนี้ว่า นานาชาติจำเป็นต้องใช้มาตรการป้องกันระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงมาตรการห้ามขายอาวุธให้เมียนมา เนื่องจากสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในเมียนมา อียูเตรียมพร้อมที่จะใช้มาตรการลงโทษเพิ่มเติมต่อรัฐบาลทหารเมียนมา ทั้งยังระบุว่า จำเป็นต้องจับตัวผู้กระทำความผิดจากเหตุสังหารหมู่ที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของกองทัพเมียนมาในรัฐกะยาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมมาลงโทษโดยด่วน เหตุดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 35 ราย ในจำนวนนี้ มีผู้เสียชีวิตที่เป็นเด็ก ผู้หญิง และเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมรวมอยู่ด้วย นับตั้งแต่เกิดเหตุรัฐประหารในเมียนมาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา อียูได้ประกาศใช้มาตรการลงโทษที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มผู้นำและนายพลระดับสูงที่กุมอำนาจในกองทัพเมียนมา นอกจากนี้ อียูยังสั่งระงับความช่วยเหลือทางการเงินให้แก่รัฐบาลทหารเมียนมา รวมถึงความช่วยเหลือด้านอื่น ๆ ที่อาจทำให้รัฐบาลทหารได้รับความชอบธรรม.-สำนักข่าวไทย

ออสเตรเลียปรับข้อกำหนดตรวจโควิดรับมือโอไมครอนระบาดหนัก

ซิดนีย์ 30 ธ.ค. – ออสเตรเลียประกาศปรับใช้แนวทางใหม่ในการตรวจหาเชื้อโควิดในกลุ่มผู้มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดและผ่อนคลายข้อกำหนดตรวจหาเชื้อโควิดเพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวในศูนย์ตรวจหาเชื้อโควิดหลายแห่ง ในขณะที่พบยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่ทะลุ 20,000 คนเป็นครั้งแรก นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ของออสเตรเลีย เผยวันนี้ว่า การระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนทำให้ออสเตรเลียไม่สามารถตรวจหาเชื้อโควิดในประชาชนหลายแสนคนด้วยแนวทางแบบเดียวกับการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา ออสเตรเลียจะให้คำจำกัดความใหม่ของผู้ป่วยมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในครอบครัวเดียวกันกับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด บุคคลเหล่านี้จะต้องแยกกักตัวเพื่อรอดูอาการเป็นเวลา 7 วัน และจะได้รับการตรวจหาเชื้อแบบสว็อบเก็บตัวอย่างเชื้อบริเวณลำคอและหลังโพรงจมูก หรือพีซีอาร์ ก็ต่อเมื่อมีอาการป่วยที่เข้าข่ายติดเชื้อโควิดเท่านั้น ส่วนบุคคลอื่นที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวเดียวกับผู้ป่วยติดเชื้อและไม่มีอาการป่วยก็ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิดด้วยวิธีดังกล่าวอีกต่อไป อย่างไรก็ดี แพทย์ออสเตรเลียหลายคนไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนคำจำกัดความใหม่ของผู้ป่วยมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดของนายกรัฐมนตรีมอร์ริสัน โดยระบุว่า แนวทางดังกล่าวอาจเป็นตัวเร่งให้เกิดการแพร่ระบาดมากขึ้น เนื่องจากเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนสามารถแพร่กระจายไปสู่ทุกคนได้ง่าย โดยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่สมาชิกในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน นักเที่ยวในผับ หรือผู้ที่อยู่ในลิฟต์ตัวเดียวกัน ทางการออสเตรเลียรายงานวันนี้ว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่ 21,329 คน ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่พบการระบาดครั้งแรกในประเทศ และเป็นตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับในเดือนก่อนที่มีผู้ป่วยติดเชื้อรายวันราว 1,200 คนเท่านั้น แม้ออสเตรเลียกำลังเผชิญกับการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน แต่ก็มียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมเกือบ 363,000 คน และผู้เสียชีวิตกว่า 2,200 คน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว.-สำนักข่าวไทย

เผยราชวงศ์ญี่ปุ่นประสบปัญหาขาดแคลนรัชทายาทชาย

โตเกียว 30 ธ.ค. – ราชวงศ์ญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาขาดแคลนรัชทายาทชายเพื่อสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางรายให้ความเห็นว่าการที่รัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่แก้กฎมณเทียรบาลสืบสันตติวงศ์เพื่อให้สมาชิกราชวงศ์หญิงขึ้นครองราชย์ได้นั้นไม่เข้ากับสถานะของราชวงศ์ญี่ปุ่นในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ของญี่ปุ่นกำลังเร่งหารือเพื่อหาทางออกเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว และคณะกรรมการพิเศษได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลญี่ปุ่น 2 ประการเมื่อสัปดาห์ก่อน ประการแรกคือ การอนุญาตให้สมาชิกราชวงศ์ผู้หญิงไม่ต้องสละฐานันดรและพระกรณียกิจหลังแต่งงานกับสามัญชน เนื่องจากปัจจุบันสมาชิกราชวงศ์ผู้หญิงยังคงต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมดังกล่าวดังเช่นอดีตเจ้าหญิงมาโกะ โคมูโระ วัย 30 ปี พระธิดาองค์โตของเจ้าชายฟูมิฮิโตะ ที่สละฐานันดรหลังแต่งงานกับเพื่อนชายสามัญชนร่วมมหาวิทยาลัยในเดือนตุลาคม ประการที่สองคือ การอนุญาตให้ผู้ชายที่มีเชื้อสายอยู่ใน 11 ตระกูลเก่าของราชวงศ์ญี่ปุ่นที่ถูกยกเลิกในสมัยปฏิรูปหลังสงครามกลับเข้าร่วมราชวงศ์สายตรงอีกครั้งผ่านกระบวนการรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม รายงานของคณะกรรมการพิเศษแนะนำว่า รัฐบาลควรรักษากฎมณเทียรบาลให้สมาชิกราชวงศ์ผู้ชายขึ้นครองราชย์ไว้จนกว่าเจ้าชายฮิซาฮิโตะ พระชันษา 15 ปี พระราชนัดดาในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ พระภาติยะในสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ และรัชทายาทลำดับ 2 ของญี่ปุ่น จะขึ้นครองตำแหน่งจักรพรรดิ โดยมีเจ้าชายฟูมิฮิโตะ พระบิดาของเจ้าชายฮิซาฮิโตะและพระอนุชาในสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะเป็นรัชทายาทลำดับ 1 อย่างไรก็ดี มาโกโตะ โอกาวะ อาจารย์ประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชูโอในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น ให้ความเห็นว่า แนวคิดข้างต้นไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงของราชวงศ์ญี่ปุ่นในปัจจุบันหรือแนวทางที่ยึดถือเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ทั้งยังระบุว่า ชาวญี่ปุ่นกำลังสงสัยว่าเพราะเหตุใดเจ้าหญิงไอโกะ พระชันษา 20 ปี พระราชธิดาพระองค์เดียวในสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะและพระราชนัดดาในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ จึงไม่มีสิทธิขึ้นครองราชบัลลังก์ กฎมณเทียรบาลญี่ปุ่นกำหนดให้สมาชิกราชวงศ์ผู้ชายมีสิทธิขึ้นครองราชย์ได้เท่านั้น ซึ่งจะทำให้เจ้าชายฮิซาฮิโตะขึ้นครองตำแหน่งจักรพรรดิต่อจากสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ พระชนมพรรษา 61 พรรษา […]

ผู้บริหารฮ่องกงชี้ตำรวจบุกสำนักข่าวไม่ใช่การคุกคามสื่อ

ฮ่องกง 30 ธ.ค. – นางแคร์รี หล่ำ ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงระบุวันนี้ว่า การที่ตำรวจฮ่องกงนำกำลังราว 200 นาย บุกตรวจค้นสำนักข่าวสแตนด์ นิวส์ที่สนับสนุนประชาธิปไตยและจับกุมพนักงาน 7 คนมีเป้าหมายเพื่อปราบปรามกิจกรรมยุยงปลุกปั่น โดยไม่ถือเป็นการคุกคามสื่อมวลชน ขณะที่พนักงาน 2 คนถูกตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดเพื่อตีพิมพ์สื่อที่ยุยงปลุกปั่นแล้ว นางหล่ำ กล่าวว่า การที่ตำรวจฮ่องกงบุกตรวจค้นสำนักข่าวสแตนด์ นิวส์เมื่อวันพุธไม่ถือเป็นการคุกคามเสรีภาพสื่อมวลชน เพราะสื่อมวลชนไม่ใช่การยุยงปลุกปั่น แต่กิจกรรมยุยงปลุกปั่นที่แฝงอยู่ในการรายงานข่าวเป็นสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ ขณะที่หัวหน้าสำนักข่าวสแตนด์ นิวส์ประจำกรุงลอนดอนของอังกฤษ เผยว่า ไม่สามารถเข้าเว็บไซต์สำนักข่าวสแตนด์ นิวส์ของฮ่องกงได้ในวันนี้ ในขณะเดียวกัน สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของฮ่องกงระบุในแถลงการณ์ล่าสุดว่า ได้ตั้งข้อหาพนักงานชาย 2 คน วัย 34 และ 52 ปี ในข้อหาสมรู้ร่วมคิดเพื่อตีพิมพ์สื่อที่ยุยงปลุกปั่น แต่ไม่ได้เปิดเผยชื่อของทั้งคู่ และได้ตั้งข้อเดียวกันกับสำนักข่าวออนไลน์ที่ทั้งสองคนทำงานอยู่โดยไม่ได้ระบุถึงชื่อสแตนด์ นิวส์ เช่นกัน ส่วนพนักงานรายอื่น ๆ ยังคงถูกควบคุมตัวเพื่อสอบปากคำต่อไป กลุ่มสนับสนุนสื่อมวลชน รัฐบาลชาติตะวันตกบางประเทศ เช่น แคนาดาและเยอรมนี รวมถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ออกมาประณามการบุกตรวจค้นและจับกุมพนักงานของสแตนด์ นิวส์ ว่าเป็นสัญญาณของการคุกคามเสรีภาพสื่อมวลชนในฮ่องกง ส่วนนายแอนโทนี […]

คณะมนตรีมั่นคงยูเอ็นประณามเหตุสังหารหมู่เมียนมา

นิวยอร์ก 30 ธ.ค. – คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสซี ออกแถลงการณ์ประณามเหตุสังหารหมู่ในเมียนมาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม หรือตรงกับวันคริสต์มาสอีฟ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 35 ราย ขณะที่กองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยงแดง หรือเคเอ็นดีเอฟ ได้นำร่างผู้เสียชีวิตทั้งหมดไปฝังแล้ว คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติระบุในแถลงการณ์เมื่อช่วงค่ำวันพุธตามเวลาท้องถิ่นว่า สมาชิกยูเอ็นเอสซีได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการจับตัวผู้กระทำผิดกฎหมายจากเหตุดังกล่าวโดยเร็ว และเรียกร้องให้ยุติการใช้ความรุนแรงทั้งหมดในทันที รวมถึงการตระหนักถึงความสำคัญของการเคารพสิทธิมนุษยชนและความปลอดภัยของประชาชน แถลงการณ์ดังกล่าวยังระบุว่า เหตุสังหารหมู่ในวันคริสต์มาสอีฟที่รัฐกะยา ทางตะวันออกของเมียนมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 35 ราย ในจำนวนนี้ มีเด็ก 4 ราย และเจ้าหน้าที่มูลนิธิเซฟ เดอะ ชิลเดรน (Save the Children) 2 ราย ทั้งยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเข้าถึงทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างปลอดภัยและไร้อุปสรรค โดยที่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมต้องได้รับการคุ้มครองอย่างปลอดภัยและเต็มรูปแบบ ในขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยงแดง หรือเคเอ็นดีเอฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในกองกำลังต่อต้านรัฐบาลทหารที่ใหญ่ที่สุด เผยวันนี้ว่า กองทัพฯ ได้ฝังศพผู้เสียชีวิตจากเหตุสังหารหมู่ในวันคริสต์มาสอีฟแล้ว ส่วนสำนักข่าวของเมียนมาได้โพสต์ภาพในสื่อออนไลน์ที่แสดงให้เห็นว่า สมาชิกของเคเอ็นดีเอฟกำลังฝังร่างผู้เสียชีวิตในหลุมศพ โดยมีดอกไม้และเทียนที่ถูกจุดไว้วางอยู่ข้างหลุมศพ.-สำนักข่าวไทย

ฝรั่งเศสพบผู้ป่วยโควิดรายใหม่ทะลุ 200,000 คน

ปารีส 30 ธ.ค. – ฝรั่งเศสรายงานเมื่อวันพุธตามเวลาท้องถิ่นว่า พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 รายใหม่ 208,000 คนในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของประเทศและทวีปยุโรป นายโอลิวิเยร์ เวอรอง รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของฝรั่งเศส กล่าวว่า ยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่ 208,000 คนเมื่อวันพุธ ซึ่งทำลายสถิติเดิมของวันอังคารที่มี 180,000 คน แสดงให้เห็นว่า ฝรั่งเศสพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดเพิ่ม 2 คนทุกวินาทีในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ฝรั่งเศสไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์ระบาดรุนแรงเช่นนี้มาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่รับมือได้ยาก เขาระบุเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ของโรงพยาบาลในประเทศเข้าขั้นน่าวิตกกังวลอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากต้องรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา แม้เชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนจะยังไม่ส่งผลกระทบรุนแรงมากนักในตอนนี้ แต่จะส่งผลกระทบต่อโรงพยาบาลในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน นายเวอรองยังกล่าวว่า เขาไม่มองว่าเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเป็นการระบาดระลอกใหม่อีกต่อไป แต่เชื้อดังกล่าวเป็นเสมือนคลื่นใต้น้ำที่รวมตัวกันจนกลายเป็นคลื่นยักษ์ที่มีอันตรายแบบสึนามิได้ ขณะนี้ ฝรั่งเศสมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 9.5 ล้านคน และผู้เสียชีวิตกว่า 123,000 คน ส่วนรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลของสำนักข่าวรอยเตอร์สเมื่อวันพุธระบุว่า ยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่ในหลายประเทศทั่วโลกกำลังพุ่งสูงขึ้นทำสถิติใหม่ในรอบ 7 วันที่ผ่านมาในขณะที่เชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วจนทำให้ผู้คนต้องทำงานจากที่บ้านและมีผู้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิดจนล้นศูนย์ตรวจโควิด.-สำนักข่าวไทย

ลูกขุนชี้ “กิสเลน แม็กซ์เวลล์” ผิดฐานช่วยนักการเงินละเมิดผู้เยาว์

นิวยอร์ก 30 ธ.ค. – คณะลูกขุนสหรัฐลงความเห็นว่านางกิสเลน แม็กซ์เวลล์ สาวสังคมชั้นสูงชาวอังกฤษและอดีตคนรักของนายเจฟฟรีย์ เอปสตีน มหาเศรษฐีนักการเงินชาวอเมริกันชื่อดัง มีความผิดฐานจัดหาและค้าประเวณีเยาวชนหญิงเพื่อให้นายเอปสตีนล่วงละเมิดทางเพศ บรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษ หรือบีบีซี รายงานวันนี้ว่า คณะลูกขุน 12 คนของศาลในนครนิวยอร์กใช้เวลาพิจารณาคดีนี้ถึง 5 วันเต็มก่อนลงความเห็นว่านางแม็กซ์เวลล์ วัย 60 ปี มีความผิดรวม 5 กระทงจากทั้งหมด 6 กระทง ได้แก่ การค้าประเวณีผู้เยาว์ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 40 ปี การจัดหาผู้เยาว์โดยมีเจตนาเพื่อกิจกรรมทางเพศที่ผิดกฎหมาย ซึ่งมีโทษสูงสุด 10 ปี สมรู้ร่วมคิดในการจัดหาผู้เยาว์โดยมีเจตนาเพื่อกิจกรรมทางเพศที่ผิดกฎหมาย ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี สมคบคิดเพื่อล่อลวงผู้เยาว์ให้เดินทางไปทำกิจกรรมทางเพศที่ผิดกฎหมาย ซึ่งมีโทษสูงสุด 5 ปี และมีส่วนสมรู้ร่วมคิดในการค้าประเวณีผู้เยาว์ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี โดยที่นางแม็กซ์เวลล์ได้รับตัดสินว่าไม่มีความผิด 1 กระทง คือ การล่อลวงผู้เยาว์ให้เดินทางไปทำกิจกรรมทางเพศที่ผิดกฎหมาย บีบีซีระบุว่า คำตัดสินดังกล่าวอาจทำให้นางแม็กซ์เวลล์ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุก อย่างไรก็ดี […]

การประจานผู้กระทำผิดกฎโควิดในจีนโดนตำหนิอย่างหนัก

ปักกิ่ง 29 ธ.ค. – ตำรวจปราบจลาจลของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทางตอนใต้ของจีน นำตัวผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 จำนวน 4 คน เดินประจานตามถนนต่าง ๆ ในวันนี้ แต่ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับแนวทางรับมือการระบาดที่เข้มงวดจนเกินไป กว่างซีจ้วงนิวส์ สื่อของทางการจีน รายงานว่า ตำรวจของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงได้นำตัวผู้ที่ถูกระบุว่าละเมิดกฎควบคุมโควิด-19 จำนวน 4 คนที่สวมหน้ากากอนามัยและชุดป้องกันเชื้อไวรัสเดินถือป้ายที่มีภาพถ่ายใบหน้าและชื่อของแต่ละคนไปตามท้องถนนเมื่อวันอังคารท่ามกลางฝูงชนจำนวนมากในเมืองจิงซี ภาพถ่ายที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นว่า ตำรวจ 2 นาย ซึ่งสวมอุปกรณ์ป้องกันใบหน้า หน้ากากอนามัย และชุดป้องกันเชื้อไวรัส เดินคุมตัวผู้ต้องหาแต่ละคนไปบนถนน โดยที่มีตำรวจปราบจลาจลเดินล้อมรอบและมีตำรวจบางนายถือปืนด้วย ทั้งสี่คนถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในข้อหาลักลอบขนส่งผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในขณะที่จีนยังคงปิดพรมแดนระหว่างประเทศ เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงมีชายแดนติดเวียดนาม กว่างซีจ้วงนิวส์ยังระบุว่า การนำตัวผู้ต้องหาเดินประจานความผิดตามถนนเป็นการแสดงให้ประชาชนเห็นถึงคำเตือนที่จริงจังและช่วยยับยั้งอาชญกรรมที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดน อย่างไรก็ดี บทลงโทษดังกล่าวกลับถูกตำหนิอย่างรุนแรงในสื่อโซเชียลมีเดีย โดยชาวจีนหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าแนวทางดังกล่าวเข้มงวดจนเกินไป จีนได้สั่งห้ามการใช้วิธีประจานผู้ต้องสงสัยตั้งแต่ปี 2553 หลังจากที่กลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนพยายามผลักดันเรื่องนี้มาเป็นเวลาหลายสิบปี แต่วิธีการดังกล่าวกลับเกิดขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นพยายามอย่างหนักในการบังคับใช้โยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลกลางของจีน ขณะนี้ จีนมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 101,000 คน และผู้เสียชีวิตกว่า 4,600 คน.-สำนักข่าวไทย

1 138 139 140 141 142 315