หวั่นวัตถุดิบอาหารสัตว์ขาด-แพงขึ้นจากเอลนีโญและข้อตกลงทะเลดำ

กรุงเทพฯ 3 ส.ค.- นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยหวั่นผลผลิตธัญพืชซึ่งเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์จะมีปริมาณลดลงทั่วโลกเนื่องจากสภาวะเอลนีโญ รวมถึงการที่รัสเซียระงับข้อตกลงส่งออกธัญพืชผ่านทะเลดำของยูเครน ขณะที่สมาคมหมูเกรงราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่อาจปรับเพิ่ม จะซ้ำเติมภาวะขาดทุนจาก “หมูเถื่อน” เตรียมหารือภาครัฐส่งหนังสือถึงประเทศผู้ส่งออกหมูว่า ไทยยังไม่เปิดนำเข้าเนื้อหมู คาดส่งผลให้เกิดภาวะขาดทุนในธุรกิจสุกรไทยถึงสิ้นปี 2566


นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยกล่าวแสดงความกังวลถึงปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อวัตถุดิบอาหารสัตว์ว่า สภาวะเอลนีโญมีแนวโน้มต่อเนื่องไป 1 ถึง 3 ปี จึงเป็นสัญญาณอันตรายว่า ผลผลิตทางการเกษตรทั่วโลกจะได้รับผลกระทบ รวมถึงธัญพืชซึ่งเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สำคัญ นอกจากนี้รัสเซียยังระงับ “ข้อตกลงธัญพืชทะเลดำ” อีกครั้งซึ่งจะทำให้การส่งออกธัญพืชจากยูเครนที่เป็นแหล่งเพาะปลูกพืชอาหารสัตว์แหล่งใหญ่ของโลกต้องหยุดชะงัก ดังนั้นอาจเกิดปัญหาทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์ขาดและแพงขึ้น

ขณะที่ประเทศไทยยังไม่เตรียมการรับมือ โดยจำกัดการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แต่ปล่อยให้เกิดปัญหาข้าวโพดหนีภาษีสวมสิทธิ์ในประเทศ ขณะที่การเพิ่มการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทยยังไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง รวมถึงการปลูกยังขาดมาตรฐานรับรอง ต่างจากเวียดนามที่นำเข้าข้าวโพดได้ 100% และเริ่มปลูกข้าวโพด GMO แล้ว


นายทวีเดช ประเจกสกุล กรรมการและผู้จัดการฝ่ายวิชาการ บริษัท ท็อปฟีดมิลล์ จำกัดกล่าวว่า กังวลว่า ซับพลายวัตถุดิบอาหารสัตว์จะขาดมากกว่าราคาที่จะแพงขึ้น ส่วนการหาวัตถุดิบทดแทนโดยเชิงปริมาณแล้ว ยากที่จะทำได้ ดังเช่นกากเบียร์ กากทานตะวัน และกากงาที่จัดหาได้เพียงตามฤดูกาลเท่านั้น

นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือเปิดเผยว่า ผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศได้รับความเดือนร้อนอย่างหนักจากราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มต่ำกว่าต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะต้นทุนด้านวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น โดยเป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนตั้งแต่ต้นปี 2565 ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันทำให้ราคาสูงขึ้นกว่า 30% ล่าสุดรัสเซียประกาศยกเลิกข้อตกลงธัญพืชทะเลดำซึ่งส่งผลให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และข้าวสาลีที่เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์หลักเพิ่มขึ้นแล้ว 5-10% ประกอบกับปีที่ผ่านมา เกษตรกรลงทุนปรับปรุงฟาร์มเพื่อป้องกันการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงสูงขึ้น

ทั้งนี้ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มของไทยจากที่เคยมีราคาสูงสุดในภูมิภาคอาเซียนเมื่อปี 2565 แต่ปีนี้กลับตกต่ำที่สุดเนื่องจากได้รับผลกระทบจาก “หมูเถื่อน” ยังคงมีกระจายทั่วประเทศช่วงครึ่งปีแรก 2566 ทำให้ราคาหมูลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จึงต้องการให้ภาครัฐปราบปรามหมูเถื่อนให้สิ้นซาก


นายสัตวแพทย์เกียรติภูมิ พฤกษะวัน เลขาธิการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติกล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา “หมูเถื่อน” ไหลเข้าสู่ประเทศไทย ทั้งที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรไทยเพิ่งฟื้นจากการระบาดของโรค ASF ในปี 2564 และสามารถเพิ่มการผลิตสุกรจนเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศแล้ว เมื่อมีปริมาณเนื้อสุกรนอกกฎหมายเข้ามาในตลาด ทำให้ราคาสุกรหน้าฟาร์มตกต่ำอย่างมากตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 4 ปี 2565 เป็นต้นมา โดยที่ภาครัฐไม่สามารถช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศได้

ล่าสุดสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติเตรียมหารือกับกรมปศุสัตว์ให้ส่งหนังสือแจ้งให้กับหน่วยงานราชการนานาชาติทราบถึงปัญหา “หมูเถื่อน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งแจ้งประเทศผู้ส่งออกเนื้อสุกรมายังประเทศไทยว่า ปัจจุบันรัฐบาลยังไม่อนุญาตให้มีการนำเข้า เพื่อให้ประเทศผู้ส่งออกต้นทางที่รับคำสั่งซื้อจากผู้นำเข้าที่ไม่ได้รับอนุญาตจากประเทศไทยให้แจ้งทางผู้นำเข้าถึงปัญหาดังกล่าว เพื่อป้องกันการไหลของ “หมูเถื่อน” เข้ามายังตลาดเมืองไทยโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายนี้โดยด่วน ส่วนในประเทศนั้น ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กวาดล้างขบวนการนี้จนถึงที่สุด

นายสัตวแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า ปัจจุบันไม่มีข่าวการแพร่ระบาดใหม่ของโรค ASF ในประเทศไทย โดยฟาร์มสุกรที่ได้รับเป็นฟาร์มมาตรฐานเพิ่มขึ้นเป็น 6,209 ราย ยิ่งสร้างความมั่นใจในเชิงประสิทธิภาพของการป้องกันโรค โดยจำนวนสุกรเข้าเชือดในแต่ละวันประมาณ 55,000 ตัว คิดเป็น 80-90% ของจำนวนช่วงก่อนการระบาดของโรค ASF

ส่วนต้นทุนการเลี้ยงสุกรของไทยอยู่ประมาณ 90 บาทต่อกิโลกรัมแต่สามารถขายได้ประมาณ 60 บาทต่อกิโลกรัมทำให้ผู้เลี้ยงสุกรขาดทุนตัวละ 3,000 บาท โดยปริมาณการผลิตในประเทศมีการผลิตสุกรเฉลี่ย 50,000ตัวต่อวัน เท่ากับขาดทุนวันละ 150 ล้านบาท หรือ เดือนละ 4,500 ล้านบาท โดยผู้ประกอบการฟาร์มสุกรในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงการระบาดปี 2564-2565 จะต้องมีทุนรองรับการขาดทุนจาก ASF และมีทุนเพื่อการขยายตัว คาดว่า การขาดทุนในธุรกิจสุกรไทยอาจลากยาวถึงสิ้นปี 2566

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติประกาศราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม โดยราคาอยู่ระหว่าง 62- 74 บาทต่อกิโลกรัมตามแต่ละภูมิภาค โดยตลาดมีทิศทางดีขึ้น การซื้อขายจริงมีฐานราคาปรับขึ้นเล็กน้อยในหลายภูมิภาค แม้รายงานแต่ละภูมิภาคยังรายงานราคาที่ทรงตัว พร้อมระบุถึงคดี “หมูเถื่อน” ว่า มีสายของผู้ประกอบการขนส่งทางเรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสาวถึงขบวนการลักลอบนำเข้าสินค้าสุกร

นอกจากนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษเตรียมประชุมกับกรมปศุสัตว์และกรมศุลกากรในสัปดาห์หน้าเพื่อกำหนดวันทำลายสินค้าของกลางในตู้คอนเทนเนอร์ 161 ตู้ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งกำหนดพื้นที่ทำลายของกลางเป็นในพื้นที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยของกลางเสื่อมสภาพจนไม่สามารถนำไปจำหน่ายเพื่อการบริโภคได้แล้ว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ปลัด ศธ. แจง “รมว.นฤมล” ลงใต้ ไม่เน้นพิธีรีตอง

กทม. 21 ก.ค.-ปลัด ศธ. แจงภารกิจแรก “รมว.นฤมล” ลงใต้ ไม่เน้นพิธีรีตอง กำชับ “ครู-นักเรียน” วันหยุดใส่ไปรเวทได้ ไม่ต้องแต่งชุดเต็มยศมารอต้อนรับ ขอลงพื้นที่ไม่ให้ใครลำบาก จากกรณี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 18-20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีการแต่งกายใส่กางเกงยีนส์ขาด รองเท้าผ้าใบ พบปะบุคลากรการศึกษา ครูและนักเรียน ที่มารอต้อนรับ เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียล การแต่งกายไม่เหมาะสมกับบทบาทของผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงศึกษาธิการ และไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการแต่งกายของข้าราชการโดยทั่วไป นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกระแสวิจารณ์การแต่งกายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ การลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดสุราษฎร์ธานีระหว่างวันที่ 18 – 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ว่า ถือเป็นการลงพื้นที่ครั้งแรกตั้งแต่ ศ.ดร.นฤมล มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้ยังไม่ได้มีการพูดคุยและทำความเข้าใจในเรื่องการแต่งกายของคณะครูและนักเรียนที่มาร่วมกิจกรรมในวันหยุดราชการ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาด้วยชุดสุภาพ เพราะเห็นว่ามีผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชามาร่วมลงพื้นที่ด้วย ศ.ดร.นฤมล ได้กำชับมาว่าการลงพื้นที่ในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ถือว่าไม่ได้เป็นวันทำงานปกติ […]

สึกแล้ว! “พระธรรมวชิรธีรคุณ” อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์

20 ก.ค.- สึกกลางดึก! “พระธรรมวชิรธีรคุณ” อดีตเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์และอดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ลาสิกขาแล้วที่วัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง นายบุญเชิด กิตติธรางกูร รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เผยได้รับรายงานจาก ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครสวรรค์ ว่า “พระธรรมวชิรธีรคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์และอดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ลาสิกขาแล้ว ณ พระอุโบสถ วัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง เวลา 23.49 น.” ขณะที่ก่อนหน้านี้ เลขานุการเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ได้แจ้งว่า “พระธรรมวชิรธีรคุณ” ขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสวรรค์และเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ -สำนักข่าวไทย

Astronomer CEO caught by kiss cam in Coldplay concert

CEO ลาออกหลังถูกแฉกลางคอนเสิร์ต Coldplay

ซินซินแนติ 20 ก.ค. – บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐแจ้งเรื่องซีอีโอลาออกแล้ว หลังจากช่วงเวลาขณะกอดกับผู้บริหารของบริษัทที่ไม่ใช่ภรรยาถูกจับภาพไปปรากฏบนจอภาพกลางคอนเสิร์ตวงโคลด์เพลย์ (Coldplay) และกลายเป็นคลิปไวรัลทั่วโลก แอสโตรโนเมอร์ (Astronomer) ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีผู้ให้บริการข้อมูลองค์กรเผยแพร่แถลงการณ์ผ่านเอ็กซ์ ( X) ว่า บริษัทยึดมั่นในคุณค่าและวัฒนธรรมที่นำทางองค์กรมาตั้งแต่ก่อตั้ง ผู้นำบริษัทถูกคาดหวังว่าจะต้องสร้างมาตรฐานด้านจริยธรรมและความรับผิดชอบ แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น นายแอนดี บายรอน ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือซีอีโอของบริษัท และคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้ลาออกแล้ว แถลงการณ์ให้คำมั่นว่า บริษัทจะเดินหน้าทำในสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด คือ การให้บริการแก้ปัญหาข้อมูลและเอไอ (AI) ให้แก่ลูกค้าต่อไป เรื่องราวอื้อฉาวนี้เกิดขึ้นในคอนเสิร์ตวง Coldplay ที่สนามยิลเลตต์สเตเดียม ในเมืองฟอกซ์โบโร รัฐแมสซาชูเสตต์เมื่อคืนวันที่ 16 กรกฎาคม เมื่อกล้องคิสแคม (kiss cam) ของคอนเสิร์ตจับภาพเจอชายหญิงคู่หนึ่งยืนกอดกันในโซนวีไอพี ซึ่งชายหญิงคู่นี้ไม่ใช่คู่รักธรรมดา แต่เป็นนายบายรอน ซีอีโอของแอสโตรโนเมอร์ และคริสติน คาบอต หัวหน้าฝ่ายพัฒนาทรัพยากรบุคคลหรือเอชอาร์ (HR) ของบริษัท เมื่อรู้ตัวว่าภาพถูกฉายขึ้นจอ ฝ่ายหญิงรีบเอามือปิดหน้าและหันหลังให้กล้อง ส่วนฝ่ายชายรีบนั่งลงให้พ้นจากมุมกล้อง ในจังหวะเดียวกันนั้น คริส มาร์ติน นักร้องนำของวง Coldplay ได้พูดแซวว่า […]

Hong Kong braves heavy rain and strong winds as typhoon Wipha approaches

ฮ่องกงเตือนภัย “ไต้ฝุ่นวิภา” ระดับสูงสุด

ฮ่องกง 20 ก.ค.- ฮ่องกงประกาศเตือนภัยระดับสูงสุดในวันนี้ เนื่องจากไต้ฝุ่นวิภา (Wipha) ที่มีความเร็วลมมากกว่า 167 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำให้เกิดฝนตกหนักและลมกระโชกแรงทั่วฮ่องกง และทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินมากกว่า 200 เที่ยว สถานีอุตนิยมวิทยาของฮ่องกงยกระดับเตือนภัยพายุ จากหมายเลข 9 ที่ประกาศเมื่อเวลา 07.20 น.วันนี้ตามเวลาท้องถิ่น เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง เป็นหมายเลข 10 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเมื่อเวลา 09.20 น. และคาดว่าจะคงระดับเตือนภัยสูงสุดไปอีกระยะหนึ่ง สถานีอุตุนิยมวิทยาฮ่องกงพยากรณ์ว่า ไต้ฝุ่นซึ่งมีกำลังลมแรงเท่ากับเฮอริเคนจะเคลื่อนตัวเฉียดสถานีฯ โดยห่างลงไปทางใต้ราว 50 กิโลเมตร และส่งผลกระทบกับพื้นที่ทางใต้ของฮ่องกง สายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิคของฮ่องกงได้ยกเลิกเที่ยวบินขาเข้าและขาออกทั้งหมดตั้งแต่เวลา 05.00-18.00 น.วันนี้ ขณะที่บริการขนส่งมวลชนส่วนใหญ่ในฮ่องกง รวมถึงบริการเรือโดยสารข้ามฟากถูกระงับเพื่อความปลอดภัย.-814.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

พล.อ.ณัฐพล ลั่นกัมพูชาบอกไม่รู้ไม่ได้ หลังคนกัมพูชาป่วนปราสาทตาเมือนธม

ทำเนียบ 21 ก.ค.-พล.อ.ณัฐพล ลั่นกัมพูชาบอกไม่รู้ไม่ได้ หลังคนกัมพูชาป่วนปราสาทตาเมือนธมหลักพันคนวานนี้ ขอคนไทย 70 จังหวัดที่ด่าเป็นหมานำราชสีห์ เข้าใจ หากอ่อนหรือแข็งไป จะหาที่ลงไม่ได้ ทำ 7 จังหวัดชายแดนเดือดร้อน เผยมีมาตรการรับมือป่วนซ้ำ แต่ไม่ขอแจงรายละเอียด พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม ศบ.ทก. ถึงกรณีกัมพูชาขนมวลชนมาป่วนที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ว่า รัฐบาลกัมพูชาจะบอกว่าไม่รู้ไม่ได้ เพราะมาเป็นหลักพันคน แต่ถ้าไม่รู้ก็ต้องแก้ไขทำความเข้าใจกับประชาชนไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนกัมพูชามาทำแบบเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยดูอยู่ทั้งหมด เราไม่อยากให้บรรยากาศเป็นไปด้วยความเครียด อยากจะบอกกับสื่อมวลชนว่าขณะนี้ประชาชนตามแนวชายแดน 7 จังหวัด เดือดร้อนมาก “เขากดดันผมว่า เมื่อไหร่จะจบเสียทีผมอยู่ตรงนี้ผมต้องรักษาบรรยากาศจะต้องไม่อ่อนแอหรือเข้มแข็งเกินไป จนหาที่ลงไม่ได้ ผมจะโดนทั้ง 2 ทาง ขณะนี้ พี่น้องอีก 70 จังหวัดก็จะมาด่าว่า ทำไมดูไม่เข้มแข็งเด็ดขาด เหมือนหมานำราชสีห์ แต่ไม่เคยสนใจ พี่น้อง 7 จังหวัดชายแดน ว่าเขาเดือดร้อนอย่างไร แต่ผมไม่อยากให้ ไปทำข่าวว่าพี่น้อง 7 […]

ปปป.ประชุมสอบเส้นเงิน “ทิดสฤษดิ์” เอี่ยวทุจริตเงินวัด-เสพเมถุนหรือไม่

บก.ปปป. 21 ก.ค. – ผู้การ ปปป. เรียกประชุมชุดทำงาน ตรวจสอบเส้นเงิน “ทิดสฤษดิ์” เอี่ยวทุจริตเงินวัด-เสพเมถุนเศรษฐินีหรือไม่ ขณะเดียวกันยังแบ่งชุดสืบ ลงพื้นที่วัดนครสวรรค์ ตรวจสอบข้อเท็จจริง ช่วงเช้าวันนี้ พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) เรียกประชุมชุดทำงานคดี “ทิดสฤษดิ์” หรือ อดีตพระธรรมวชิรธีรคุณ เจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ที่ต้องสงสัยว่ามีสัมพันธ์กับเศรษฐีนีปากน้ำโพ อายุ 57 ปี และใช้ชีวิตอยู่กินด้วยกัน ส่งเสียเลี้ยงดูฉันผัวเมียมานานกว่า 15 ปี รวมไปถึงอยู่ระหว่างขยายผลและตรวจสอบเส้นทางการเงินของวัดว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินวัดหรือไม่ ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง โดยสาระสำคัญวันนี้ ทาง ปปป.ได้เรียกพนักงานสอบสวนประชุมเพื่อวางแนวทาง และกรอบการทำงานในกรณีของเส้นเงินเท่านั้น ส่วนเรื่องอื้อฉาวนั้น พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หลังจากได้เปิดศูนย์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและส่งเสริมพระธรรมวินัย จึงได้มอบหมายให้ ปคม. เป็นเจ้าของคดีหลัก ให้ตรวจสอบถึงเรื่องราวทั้งหมดว่ามีสีกาเกี่ยวข้องกับทิดสฤษดิ์กี่คนและเข้ามามีสัมพันธ์ด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ ในฐานะอะไร ซึ่งคดีนี้เป็นเรื่องความผิดทางอาญา จะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่ามีการร่วมกันทุจริตจริงหรือไม่ จากนั้นทั้ง ปปป. และ ปคม.ก็จะเอาข้อมูลทั้งหมดมารวมกัน […]

กต.ประณามกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ขัด กม.ระหว่างประเทศร้ายแรง

ก.ต่างประเทศ 20 ก.ค. – กต.ประณามกัมพูชาอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซัดขัด กม.ระหว่างประเทศร้ายแรง ละเมิดอธิปไตยไทย จี้ให้ความร่วมมือเก็บกู้ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อ่านแถลงการณ์เรื่องการประท้วงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชา ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ บริเวณช่องบก ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดศรีสะเกษ จนเป็นเหตุให้กำลังพลของไทยได้รับบาดเจ็บ ว่า ตามที่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 รวม 3 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนตามปกติ ในดินแดนของไทย บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้น รัฐบาลไทยได้รับรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงว่า ภายหลังการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ทุ่นระเบิดที่พบ ไม่มีการใช้ หรือมีอยู่ในคลังอาวุธของไทย และเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เมื่อประกอบกับการประมวลข้อมูล และหลักฐานสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่หน่วยงานความมั่นคงตรวจพบ นำไปสู่การสรุปได้ว่า เป็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างชัดเจน ไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ จะดำเนินการตามกระบวนการภายใต้อนุสัญญาฯ โดยจะยังคงหาทางแก้ปัญหากับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคีต่าง […]

มทภ.2 ยินดีเขมรขนคนเที่ยวโบราณสถานไทย เตือนเคารพกฎ

20 ก.ค.- แม่ทัพภาค 2 ฮึ่มป่วน “ปราสาทตาเมือนธม-ปราสาทตาควาย” เจอมาตรการเบาไปหนัก ยินดีเขมรขนคนมาชมสองโบราณสถานของไทย ส่วนโซเชียลรณรงค์คนไทยเจ้าบ้านใส่เสื้อไทยร่วมต้อนรับ เมื่อวันที่ 20 ก.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกรณีกัมพูชาขนประชาชนกัมพูชาหลายรถบัสขึ้นมาเที่ยวปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายของไทย ว่า รู้สึกยินดีและขอต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาและประเทศอื่น ๆ ที่มาท่องเที่ยว เยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายของไทย ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กองทัพภาคที่ 2 กำหนดไว้ โดยได้จัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและดูแลนักท่องเที่ยวให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ไม่ก่อความวุ่นวาย เพื่อให้นักท่องเที่ยวทุกคนเข้าเยี่ยมชมได้ตามปกติ ทั้งนี้ ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญของไทยและมีประวัติศาสตร์มายาวนาน “หากนักท่องเที่ยวคนใดก่อเหตุวุ่นวาย เจ้าหน้าที่มีมาตรการจากเบาไปหาหนักดำเนินการ ดังนั้นขออย่าให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะนักท่องเที่ยวทุกคนเข้ามาเยี่ยมชมโบราณสถานของไทย ต้องเคารพกฎระเบียบของไทย” แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่ภาพคนไทย พร้อมข้อความภาษาไทยและภาษากัมพูชา ระบุว่า “รวมใจคนไทย ใส่เสื้อไทย ต้อนรับนักท่องเที่ยวกัมพูชา ด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพจากเจ้าของบ้านตัวจริง” -สำนักข่าวไทย