เขตบางซื่อ 27 พ.ค.- “ชัชชาติ” นั่ง MRT สายสีม่วง ลงสถานีวงศ์สว่าง ดูพื้นที่เอกชนว่างเปล่ามอบให้ กทม.ทำประโยชน์สาธารณะ พร้อมควง “จักรพันธุ์-ภิมุข” ว่าที่ทีมงานรองผู้ว่าฯ ลงพื้นที่ด้วย
เมื่อเวลา 08.30 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมนายจักกพันธุ์ ผิวงาม อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. และนายภิมุข สิมะโรจน์ สองคนที่ถูกจับตาว่าจะมาร่วมทีมรองผู้ว่าฯ ของนายชัชชาติร่วมลงพื้นที่ด้วย โดยนายชัชชาติ ระบุว่าบริเวณนี้เป็นพื้นที่ว่างเปล่าติดกับสถานีรถไฟฟ้า MRT สถานีวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ ตนเคยผ่านมาเห็นว่าเคยมีปลูกดอกทานตะวันไว้ด้วย ซึ่งทราบมาว่าเจ้าของที่ต้องการยกให้ กทม. ทำเป็นสวนสาธารณะ แต่ที่ผ่านมาติดปัญหา จึงตั้งใจมาดูและยืนยันเจตนารมณ์ นโยบายเพิ่มพื้นที่สีเขียว และให้คน กทม.เข้าถึงสวนสาธารณะ อยากให้มีหลายๆ จุดทั่วกรุงเทพฯ โดยตัวแทนที่ดิน ได้มอบหนังสือที่ระบุความต้องการให้ กทม.นำพื้นที่ตรงนี้ ที่มีประมาณ 2 ไร่ ไปทำประโยชน์เป็นที่สวนสาธารณะ ซึ่งเอกสารที่ยื่นให้ว่าที่ผู้ว่าฯ วันนี้ ก็เป็นหนังสือเดิมที่ได้ส่งเรื่องถึง กทม. ตั้งแต่ปี 2562 ยอมรับว่าหากนำพื้นที่ตรงนี้ไปปล่อยเช่าก็ได้ค่าเช่าคุ้มกว่า หรือนำมาปลูกกล้วยยอมเสียภาษีที่ดินถูก ก็ทำได้ แต่เจ้าของที่ไม่ได้อยากทำแบบนั้น อยากให้ กทม.ใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวม
โดยนายชัชชาติกล่าวขอบคุณและบอกว่าหากเอกชนพื้นที่อื่นๆ อยากมอบให้เป็นพื้นที่สีเขียว ก็ยินดี ติดต่อไปที่เขตใกล้บ้านได้เลย อย่างตรงนี้ มองว่าพัฒนาภายใน ติดตั้งไฟส่องสว่าง ปลูกต้นไม้ เป็นแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินเอกชน พัฒนาเป็นสวนสาธารณะ ส่วนมาตรการทางภาษี กทม.และเอกชนต้องคุยกันมีกำหนดระยะเวลาการเข้าใช้ประโยชน์ กทม.ไม่ได้จะลงทุนให้ทั้งหมด ยึดหลัก ต้องให้ยุติธรรมทั้งสองฝ่าย
ประเด็นการจัดเก็บภาษี ตามโซนสีของผังเมืองนั้น มองว่าน่าสนใจ แต่ไม่มั่นใจว่าอำนาจ กทม.จะทำได้หรือไม่อย่างไร เช่นบางเขตที่เป็นโซนเกษตรกรรม อาทิ หนองจอก ลาดกระบัง ตรงนั้นก็ยังเป็นโซนที่มีพื้นที่เกษตรกรรมอยู่ ทำได้ แต่มองว่าบางจุดใจกลางเมืองที่เอามาทำเป็นพื้นที่เกษตร ทั้งที่เป็นโซนผังเมือง สีแดง สีส้ม ก็มองไม่เหมาะกับการเอามาปลูกกล้วย เลี้ยงวัว ซึ่งตรงนี้ต้องไปดูข้อกฎหมายว่าในอำนาจ กทม.ทำได้แค่ไหนอย่างไรตาม พ.ร.บ.จัดเก็บภาษีที่ดินที่กำหนดไว้
ขณะที่การลงพื้นที่วันนี้ เป็นที่จับตามอง เพราะมีว่าที่ทีมงานรองผู้ว่าฯ ของนายชัชชาติ คือ นายภิมุข สิมะโรจน์ และนายจักกพันธุ์ ผิวงาม ลงพื้นที่ด้วย โดยนายชัชชาติ ได้ย้ำถึงการเลือกทีมงาน ยืนยันว่า ตนเลือกด้วยตนเอง เป็นข้อดีของการเป็นอิสระ โดยทั้งทีมรองผู้ว่าฯ 4 คน กลุ่มทีมงานเลขานุการ 5 คน และกลุ่มของที่ปรึกษาผู้ว่าฯ อีก 9 คน ตนเตรียมไว้หมดแล้วรอเปิดตัว เมื่อ กกต.รับรองอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ยังมีทีมที่ปรึกษาเฉพาะทางอีกหลายคน ที่ไม่ได้มีเงินเดือน มีตำแหน่งอะไร แต่หลายคนก็พร้อมมาช่วยกัน
นายจักกพันธุ์ ผิวงาม อดีตรองผู้ว่าฯ ยุค พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เปิดใจว่า ตนเจอกับนายชัชชาติ ช่วงปี 2562 หลังจากที่เพิ่งลาออกจากการเป็นรองผู้ว่าฯ และจากที่ได้พูดคุยก็ทำให้ทราบถึงความมุ่งมั่นที่อยากจะเสนอตัวสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม. และในช่วงนั้นก็อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลจากคนกลุ่มต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการคิดเพื่อพัฒนากรุงเทพฯ ซึ่งช่วงที่ตนเป็นรองผู้ว่าฯ ก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลในส่วนงาน เช่น สำนักระบายน้ำ สำนักโยธา และตอนนั้นก็มีการพูดคุยกันหลายเรื่อง อาจารย์ก็มาขอคำปรึกษาในเรื่องต่างๆ ซึ่งตลอดมาไม่เคยคิดว่าจะต้องมีตำแหน่งใดๆ แต่หากยังไว้วางใจและเชื่อมั่นในตนเอง หากต้องการให้กลับเข้าไปร่วมทำงานเพื่อคนกรุงเทพฯ ก็ยินดี และจะทำให้ดีที่สุด ขอบคุณนายชัชชาติที่ให้เกียรติ
ขณะที่ นายภิมุข สิมะโรจน์ อดีตรองหัวหน้าพรรคกล้า ที่มีกระแสข่าวว่าจะมารับตำแหน่งในทีมกทม.ของนายชัชชาติ กล่าวว่า เหตุผลที่ตัดสินใจเข้ามาช่วยนายชัชชาติ เพราะเห็นถึงความตั้งใจ และการทำงานที่เป็นอิสระ และอยากเข้ามาช่วยพัฒนา กทม.โดยการเข้าไปช่วยตั้งแต่ต้นไม่เคยหวังจะได้รับตำแหน่งใดๆ
ขณะที่บริเวณพื้นที่ดังกล่าว เขตบางซื่อได้ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาถางหญ้า รอว่าที่ผู้ว่าฯ เข้ามาดำเนินการ และตลอดการลงพื้นที่ ก็มีพนักงานรักษาความสะอาดเข้ามาขอถ่ายรูป เรียกว่านายชัชชาติกลายเป็นขวัญใจของพนักงานทำความสะอาด กทม. โดยยังได้กล่าวถึงสวัสดิการพนักงานทำความสะอาดที่พบว่ามีปัญหา 2 เรื่อง คือ 1.ได้รับสวัสดิการน้อย เงินเดือนไม่เพียงกับค่าครองชีพ และ 2.มีจำนวนมากที่ ยังไม่บรรจุ ซึ่งเรื่องนี้ตนได้รับร้องเรียนมาตลอด อย่างเมื่อเช้าไปวิ่ง พนักงานทำความสะอาดที่จุดนั้น เขารู้ว่าคนจะวิ่งผ่านก็มาดักรอยื่นจดหมายร้องเรียนก็มี ซึ่งก็รับปากว่าจะช่วยดูให้ -.สำนักข่าวไทย