ทำเนียบ 26 เม.ย.-“สุพัฒนพงษ์” รมว.พลังงาน เผยไม่ขึ้นราคาดีเซลพรวดพราด จะทยอยขึ้น โดย 1 พ.ค. มีหลายสูตรที่คิด เช่น อาจขึ้น 2 บาท/ลิตร พร้อมประเมินวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนทุก 3 เดือน วอนเอกชนร่วมมือฝ่าวิกฤติ ไม่ส่งผ่านต้นทุนไปให้ผู้บริโภคทั้งหมด
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวที่ทำเนียบรัฐบาลถึงมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล 30 บาทต่อลิตรที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 เม.ย.65 ว่า ในหลักการราคาส่วนที่เกิน 30 บาทต่อลิตร รัฐบาลจะอุดหนุนครึ่งหนึ่ง เพื่อกำหนดเป็นกรอบเพดานใหม่ และส่วนที่เกินจากกรอบเพดานใหม่จะสามารถอุดหนุนให้ต่ำกว่าเพดาน ส่วนราคาที่เหมาะสมจะเป็นเท่าไหร่นั้น ได้มอบหมายให้นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงานไปพิจารณา ซึ่งราคาอาจจะน้อยกว่าเพดานใหม่ที่กำหนดขึ้นไว้ก็ได้ เช่น อาจจะจะขยับจาก 30 บาทเป็น 32 บาทต่อลิตร และหลังจากจากนันจะทยอยค่อย ๆ ขึ้นราคา ซึ่งตามมติ ครม.นั้นจะขยับราคาแบบคนละครึ่ง คือ ขึ้นราคาครึ่งหนึ่งในส่วนที่เกิน 30 บาท/ลิตร และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะอุดหนุนครึ่งหนึ่ง
“ราคาดีเซลหากจะขึ้นวันนี้จะอยู่ที่ 40 บาทต่อลิตร ส่วนที่เกิน 30 บาท/ลิตร คือ 10 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯเข้าไปอุดหนุนครึ่งหนึ่ง ราคาเพดานใหม่จะอยู่ที่ 35 บาทต่อลิตร จะไปขึ้นทันที ไม่ได้หรอก ประชาชนเดือดร้อนแน่ ให้ปลัดพลังงานไปดูว่ากรอบที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่ราคาเท่าไหร่ อาจจะเป็น 32 บาทต่อลิตรก็ได้ ค่อย ๆ ขึ้นไป”
ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันฯขณะนี้ อุดหนุน ราว 10 บาท/ลิตร หรือวันละกว่า 600 ล้านบาท ทั้งหมดนี้ต้องค่อย ๆ ปรับตัว ซึ่งคาดการณ์ว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนมีแนวโน้มยืดเยื้อ จึงต้องประเมินสถานการณ์ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน (พ.ค.-ก.ค.65) ว่าจะปรับตัวอย่างไร และหากอยู่ในสภาพเช่นนี้เงินอุดหนุนจะต้องเอามาจากที่ไหน โดยต้องดูขนานกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไปด้วย โดยเมื่อไทยเปิดประเทศ แล้วจะฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดหรือไม่
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ส่วนราคาสินค้าที่ปรับขึ้นตามค่าขนส่ง บริษัทผู้ประกอบการขนาดใหญ่มีสูตรการปรับราคาสินค้าอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของดีมานด์และซับพลาย ในยามนี้ วิกฤตแบบนี้ ราคาสินค้าสูงขึ้น สิ่งที่ทำได้ คือทุกฝ่ายต้องประหยัด พึ่งพาตัวเอง ลดการใช้ในสิ่งที่สิ้นเปลือง โดยรัฐบาลก็ได้ช่วยเหลือประชาชน โดยได้ออก 10 มาตรการในการช่วยเหลือค่าครองชีพไปแล้ว เช่น ลดค่าใช้ไฟฟ้า ลดส่งเงินสมทบประกันสังคมของผู้ประกันตน ในขณะเดียวกันได้หารือกับเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ว่า ภาคเอกชนก็ต้องร่วมบริหารลดต้นทุนการผลิต ไม่ใช่ส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นให้กับประชาชน เพราะต้องช่วยเหลือกัน เพื่อผ่านวิกฤตช่วงนี้ไปด้วย ซึ่งเป็นวิกฤตที่แตกต่างจากกรณีโควิด-19 เพราะสินค้าขึ้นทุกอย่าง
“การหารือกับเอกชน คุยกันว่าหากลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศในสินค้าที่แพง อะไรที่ใช้ในประเทศได้ก็ใช้ในประเทศ ถ้าภาคอุตสาหกรรมช่วยกันเพิ่ม productivity เพื่อประหยัดต้นทุนได้ ไม่ส่งต้นทุนที่สูงทั้งหมดกลับมาที่ประชาชน ประชาชนก็ประหยัดในส่วนสินค้านำเข้า แล้วไปใช้สินค้าในประเทศ ก็จะช่วยเหลือกันไป ช่วยเหลือกันมา รัฐบาลก็ไม่ได้หยุดช่วยเหลือ ก็มีมาตรการ แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน”นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย