ทำเนียบ 22 มี.ค.-ครม. เคาะ 10 มาตรการ ลดค่าครองชีพ ทั้งค่าก๊าซ น้ำมัน และค่าไฟ นาน 3 เดือน เริ่มเดือน พ.ค.นี้ พร้อมขอประชาชนระวังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรหลอกโอนเงิน
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า จากสถานการณ์ความผันผวนของราคาพลังงาน ที่สืบเนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซีย ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและการขนส่งสินค้าและบริการต่างๆ ทำให้ค่าครองชีพมีการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และตระหนักดีถึงความลำบากของพี่น้องประชาชนที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะประชาชนที่มีรายได้น้อย และผู้ใช้แรงงาน และจากการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ข้อสรุปว่า สถานการณ์ระหว่างยูเครน-รัสเซีย อาจจะไม่จบลงโดยเร็ว โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระดมความคิดเพื่อหามาตรการช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน เพิ่มเติมจากมาตรการต่างๆ ที่รัฐได้ออกไปแล้วและยังใช้อยู่ในขณะนี้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกรกฎาคมนี้ อย่างน้อย 10 มาตรการ ดังนี้
1.การเพิ่มเงินช่วยเหลือเพื่อซื้อก๊าซหุงต้มสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3.6 ล้านคน โดยเพิ่มเงินจากเดิม 45 บาท เป็น 100 บาทต่อเดือน
2.ส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้ม เดือนละ 100 บาท สำหรับผู้ค่าหาบเร่แผงลอยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนประมาณ 5,500 คน
3.ช่วยเหลือค่าน้ำมันให้กับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการขนส่งทางบก จำนวน 157,000 คน โดยช่วยลดค่าใช้จ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 250 บาทต่อเดือน และขอให้กรมการขนส่งทางบกกำกับราคาการให้บริการเพื่อให้พี่น้องประชาชนที่ต้องใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเท่าเดิม
4.คงราคาขายปลีกผู้ที่ใช้ก๊าซ NGV ไว้ที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม
5.ผู้ขับขี่แท๊กซี่มิเตอร์ภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกัน สามารถซื้อก๊าซได้ในราคา 13.62 บาท/กิโลกรัม
6.ช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยลดค่า Ft ลง 22 สตางค์ต่อหน่วยในช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม
7.ตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2565 หลังจากนั้น รัฐบาลจะเข้าไปช่วยเหลือส่วนที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นครึ่งนึง
8.กำกับดูแลการปรับราคาก๊าซหุงต้มในช่วงตั้งแต่เดือนเมษายน – มิถุนายน โดยใช้กองทุนน้ำมันเข้าไปช่วยลดผลกระทบจากการปรับราคาให้ไม่ขึ้นสูงเกินไป
9.ลดอัตราเงินสบทบของนายจ้างและลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 จาก 5% เหลือ 1% เพื่อให้ลูกจ้างและนายจ้างสามารถมีกำลังในการใช้จ่าย และผู้ประกอบการสามารถมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจในช่วงถัดไป
10.ลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 39 จาก 9% เหลือ 1.9% และลดอัตราเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 40 ลงเหลือ 42 – 180 บาทต่อเดือน
“ทั้งหมดก็ใช้เงินไปเยอะพอสมควร รายได้ก็ลดลง ก็ขอให้เห็นใจรัฐบาลด้วยแล้วกัน เราพุ่งเป้าไปคนที่เดือดร้อนมากที่สุดก่อน ที่เหลือก็ขอให้ช่วยกันกับรัฐบาลไปด้วย นึกถึงคนที่ลำบากไปก่อน”พลเอกประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้ได้มากที่สุด ก่อนจะเข้าสู่ฤดูการเพาะปลูก โดยเน้นการใช้วัตถุดิบในประเทศ และให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับประเทศต่างๆในการจัดหาปัจจัยการผลิตที่จำเป็นเข้าประเทศด้วย โดยเฉพาะเรื่องของปุ๋ย อาหารสัตว์ที่ไทยพึ่งพาต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และเป็นเรื่องที่ต้องมองระยะยาวว่า จะผลิตปุ๋ยในประเทศเองได้บ้าง หรือ ทำอย่างไรถึงจะสามารถใช้แม่ปุ๋ยในประเทศได้บ้าง ซึ่งแม้จะมีแม่ปุ๋ยอยู่ แต่ขุดขึ้นมาไม่ได้ เพราะประชาชนไม่ยอม และทำให้เราต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด และรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาให้ดีที่สุด
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รัฐบาล ทุกกระทรวง และทุกหน่วยงาน กำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อวางแผนช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทุกคนให้ได้มากที่สุด ให้พ้นวิกฤตซ้อนวิกฤตนี้ไปให้ได้ โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และเร่งเดินหน้าตามแผนฟื้นฟูประเทศที่ได้วางไว้ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ทั้งเรื่องโอกาสการค้าการลงทุนกับต่างประเทศ การเปิดประเทศและการท่องเที่ยวในระยะต่อไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพและรายได้ รวมไปถึงการช่วยลดภาระ แบ่งเบาค่าครองชีพด้วยมาตรการต่างๆ และแก้ปัญหาหนี้สินให้พี่น้องประชาชนโดยเร็วที่สุด นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้มีการลงทุนรูปแบบใหม่ ที่ทำให้คนรวยขึ้นมากจากเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น คริปโตเคอร์เรนซี่ และสกุลเงินต่างๆ ก็ต้องระวัง ซึ่งรัฐบาลสนับสนุน แต่ก็ต้องมีมาตรการเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นในระยะยาวด้วย ส่วนผู้ที่สนใจ ขอให้ไปศึกษา เพราะยังใหม่สำหรับประเทศไทย ขอให้ระมัดระวังอย่างที่สุด ซึ่งวันนี้สิ่งที่อยากเน้นย้ำ คือการสร้างการรับรู้ของประชาชน ไม่ให้ถูกหลอกจากแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่โทรมาข่มขู่ ขออย่ารับสาย เพราะหากมีคดีจริง เจ้าหน้าที่จะมาหาประชาชนเอง ขอให้บันทึกหลักฐานแล้วไปแจ้งความ. สำนักข่าวไทย