รัฐสภา 6 ก.พ. – เบสท์รินยื่นหนังสือถึงประธาน สนช.ให้ช่วยตรวจสอบการทำงานกรมศุลกากร ระบุไม่มีสิทธิ์ระงับฟอร์มดีรถเมล์เอ็นจีวี เพราะไม่มีหลักฐานเอกสารราชการที่ชัดเจน ยันหน่วยงานตัดสิทธิ์ต้องเป็นหน่วยงานของมาเลเซียเท่านั้น
ผู้บริหารบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป นำโดยนายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานบริษัท และทนายความ เข้ายื่นหนังสือต่อนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ( สนช.) เพื่อเรียกร้องให้ตรวจสอบการทำงานของกรมศุลกากรในกรณีที่กล่าวอ้างว่ารถเมล์เอ็นจีวี มีการผลิตและประกอบขึ้นที่จีนว่า ทางกรมศุลกากรของไทยไม่มีสิทธิ์ตัดสิทธิ์หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า หรือฟอร์มดี เพราะหน่วยงานที่ออกเอกสารฟอร์มดี คือ กระทรวงอุตสาหกรรมการค้าระหว่างประเทศของมาเลเซีย มีสิทธิ์เพียงหน่วยงานเดียวที่จะดำเนินการเรื่องนี้ได้ และการกล่าวหาฐานสำแดงประเทศกำเนิดเป็นเท็จตาม พ.ร.บ.ห้ามนำของที่มีการแสดงกำเนิดเป็นเท็จเข้ามา พ.ศ.2481 จะครอบคลุมเฉพาะสินค้าหัตถกรรมเท่านั้น ไม่มีรถยนต์อยู่ในข้อกฎหมายแต่อย่างใด ที่สำคัญบริษัททำตามขั้นตอนกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอย่างถูกต้องและทางกรมศุลกากรก็มีเพียงข้อสงสัยว่าถิ่นกำเนิดของรถเมล์ไม่ได้อยู่ที่ประเทศมาเลเซียและมีเพียงหลักฐานรูปภาพ และคลิปวีดิโอเท่านั้น ไม่มีเอกสารยืนยันจากหน่วยงานราชการ
ส่วนกระบวนการเสียค่าปรับจากกรณีที่ส่งมอบรถล่าช้า ขณะนี้ทางเบสท์ริน กรุ๊ป ขอยืนยันว่ารถทั้ง 390 คันผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนการจดทะเบียนเท่านั้น ดังนั้น บริษัทจึงถือว่าส่งมอบแล้ว เพียงแต่ยังติดเงื่อนไขทางกรมศุลกากรสงสัย ดังนั้น ค่าปรับที่จะเสียให้กับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จะต้องมีการคิดคำนวนใหม่
สำหรับการยื่นนำรถออกจากท่าเรือแหลมฉบังที่เหลืออีก 99 คัน ขอเพียงจ่ายค่าภาษีนำเข้าร้อยละ 20 จะไม่จ่ายค่าปรับ กรณีถูกกล่าวหาแสดงแหล่งกำเนิดไม่ถูกต้องอีก 2 เท่า เนื่องจากมองว่าระเบียบปฏิบัติของกรมศุลกากรสามารถเรียกค่าเสียหายจากภาษีนำเข้าเท่านั้น ขณะที่ความเสียหายบริษัทขณะนี้ มีทั้งภาษีนำเข้าร้อยละ 40 ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 หากคิดคำนวนรถ 390 คัน ทางบริษัทมีค่าเสียหายรวม 573 ล้านบาท แต่หากรวมรถ 99 คันที่เหลือ และค่าปรับกรณีถูกกล่าวหาแสดงแหล่งกำเนิดไม่ถูกต้องอีก 2 เท่า ไปด้วยจะทำให้มูลค่าความเสียหายเพิ่มเป็น 928 ล้านบาท.-สำนักข่าวไทย