วอชิงตัน 10 ก.ย. – ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐประกาศนโยบายใหม่ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่นว่า สหรัฐจะกำหนดให้เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของรัฐบาลกลางเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 และผลักดันให้บริษัทขนาดใหญ่ฉีดวัคซีนให้แก่พนักงานหรือตรวจหาเชื้อโควิดทุกสัปดาห์
ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวถึงชาวอเมริกันหลายสิบล้านคนที่ไม่ยอมเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ว่า ทางการอดทนกับเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ความอดทนดังกล่าวกำลังหมดลง และการปฏิเสธวัคซีนของคนเหล่านี้ก็ส่งผลเสียต่อสหรัฐ ขณะที่มาตรการครั้งใหม่ของประธานาธิบดีไบเดนจะครอบคลุมเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลราว 2 ใน 3 หรือคิดเป็นร้อยละ 66 รวมถึงบริษัทต่าง ๆ ที่มีพนักงานมากกว่า 100 คน ทั้งนี้ ประธานาธิบดีไบเดนได้ประกาศนโยบายและกล่าวคำปราศรัยที่เต็มไปด้วยท่าทีแข็งกร้าวมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อกระตุ้นชาวอเมริกันที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีนให้เข้ารับการฉีดวัคซีน ในขณะที่เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาทำให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ที่ทำให้มีผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น การระบาดในครั้งนี้ไม่เพียงทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสหรัฐ แต่ยังส่งผลกระทบต่อประธานาธิบดีไบเดนที่เคยให้คำมั่นว่าจะควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ในสหรัฐให้ได้ ขณะนี้ สหรัฐฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้ประชาชนได้ร้อยละ 62 จากประชากรทั้งหมด 328 ล้านคน
ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสุขภาพและโรคติดเชื้อหลายรายให้ความเห็นว่า การประกาศข้อบังคับดังกล่าวไม่น่าจะทำให้อัตราพบผู้ป่วยติดเชื้อลดลงรวดเร็วอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี ดร. เจสซี กู๊ดแมน อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐ หรือเอฟดีเอ ระบุว่า ข้อบังคับดังกล่าวจะช่วยป้องกันการระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ลดอัตราผู้เสียชีวิตและผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล รวมถึงป้องกันไม่ให้ระบบสาธารณสุขเผชิญกับภาวะตึงตัว.-สำนักข่าวไทย