อุทยานเขาใหญ่ป้องกันนักท่องเที่ยวให้อาหารสัตว์ป่า

นครราชสีมา 27 ส.ค. – หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่สั่งเจ้าหน้าที่คุมเข้ม ไม่ให้นักท่องเที่ยวให้อาหารสัตว์ป่าในเขตอุทยาน ซ้ำรอยผู้ให้อาหารกวางป่า เร่งทำความเข้าใจ เป็นการทำร้ายสัตว์ป่าทางอ้อม ยืนยัน จับจริง ปรับจริง


นายอดิศักดิ์ ภูสิทธิ์วงศานุยุต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เปิดเผยว่า ให้เจ้าหน้าที่ปิดกั้นทางเข้า-ออกพื้นที่ที่มีกวางออกมา รวมทั้งไม่ให้รถเข้าไปจอดบริเวณสนามหญ้าซึ่งมีกวางอาศัยอยู่โดยทั่วไป ติดตั้งลำโพงเครื่องขยายเสียงเพื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับอันตรายที่จะเกิดต่อสัตว์ป่า หากนักท่องเที่ยวให้อาหาร จึงเป็นการทำร้ายทางอ้อม โดยประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องทุก 1 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 08.30 น. จนกว่านักท่องเที่ยวจะเดินทางกลับทั้งหมด

นอกจากนี้ได้จัดทำป้ายสามเหลี่ยมประชาสัมพันธ์กฎ ระเบียบ ข้อห้ามต่างๆ สำหรับวางชั่วคราวบริเวณด้านหน้ารถของนักท่องเที่ยว ในขณะที่นักท่องเที่ยวซื้อตั๋วค่าบริการฯบริเวณด่านปากช่อง และด่านเนินหอม ปราจีนบุรี โดยเน้นย้ำเรื่อง ห้ามให้อาหารสัตว์ป่า ห้ามทิ้งขยะ ห้ามขับรถเร็ว ห้ามส่งเสียงดัง และห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าไปในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ตลอดจนจัดเจ้าหน้าที่เพื่อออกตรวจลาดตระเวน ดูแลความเรียบร้อย เฝ้าระวังไม่ให้นักท่องเที่ยวกระทำผิด 


สำหรับกรณีนักท่องเที่ยวที่ให้อาหารกวางในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น ผู้กระทำผิดได้ติดต่อขอชำระค่าปรับกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยเจ้าหน้าที่ได้เปรียบเทียบปรับ 5,000 บาท ซึ่งผู้กระทำผิดได้ยอมรับว่ากระทำผิดจริง โดยระบุว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ส่วนที่นักท่องเที่ยวให้อาหารลิงบริเวณลานกางเต็นท์ลำตะคองเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมนั้น ทางอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้แจ้งความกล่าวโทษไว้ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครนายกเพื่อดำเนินการตามกฎหมายแล้ว

ทั้งนี้ การให้อาหารสัตว์ป่าเป็นความผิดตามกฎหมาย มาตรา 20 แห่งพ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ประกอบระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2563 ข้อ 6 (2) ห้ามให้อาหารสัตว์ป่าทุกชนิด ผู้ใดฝ่าฝืนมีระวางโทษ ตามมาตรา 47 ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกวางป่าว่า “กวาง” เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง มีกีบเท้า กินพืชเป็นอาหาร ตามธรรมชาติจะหากินตามทุ่งหญ้าในป่าและรับแร่ธาตุจากการกินโป่ง แต่หากมนุษย์นำอาหารไปให้เช่น ขนมขบเคี้ยวที่มีรสเค็มเหมือนโป่งดิน กวางจึงติดใจชอบเข้ามาขออาหารจนสัญชาตญานในการดำรงชีวิตเปลี่ยนไป


นอกจากนี้ การทิ้งขยะและเศษอาหารไม่เป็นที่ยังเป็นอันตรายต่อสัตว์ป่า เศษอาหารเป็นเเหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงวันและเชื้อโรค เชื้อโรคจากเมืองเข้าสู่ป่าทางอาหาร จึงเป็นการแพร่โรคสู่สัตว์ด้วย ที่ผ่านมา เคยมีการผ่าพิสูจน์ซากกวางที่ตายโดยไม่มีบาดแผล พบว่า บางตัวมีถุงพลาสติกอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นทั้งเศษอาหารและขยะที่นักท่องเที่ยวไม่ทิ้งให้ถูกที่ จึงเป็นการทำร้ายสัตว์ป่า. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ตึกถล่มพบเสียชีวิตเพิ่ม

พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 5 ราย ทีมกู้ภัยเร่งกู้ร่าง

พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 5 ราย ในพื้นที่โซน B และโซน C มีซากอาคารถล่มทับร่างอยู่ ทีมกู้ภัยเร่งกู้ร่างและค้นหาผู้สูญหายใต้ซากอาคารต่อเนื่อง

ชายวัย 50 ไหว้ขอโทษ ไม่มีเจตนากุเรื่องเมียท้อง 4 เดือน ติดใต้ซากตึก สตง.

ชายวัย 50 ปี ยกมือไหว้ขอโทษ ไม่มีเจตนากุเรื่องภรรยาท้อง 4 เดือน ติดใต้ซากอาคาร สตง.ถล่ม ด้านรอง ผบช.น. เตือนอย่าใช้โอกาสที่มีผู้ประสบเหตุสร้างความสงสารหลอกเอาทรัพย์สิน มีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน

ออกแล้ว! ผลตรวจเหล็ก 28 ชิ้น ตึก สตง.ถล่ม พบไม่ได้มาตรฐาน 13 ชิ้น

ผลตรวจตัวอย่างเหล็ก 28 ชิ้น ตึก สตง.ถล่มจากแผ่นดินไหว พบได้มาตรฐาน 15 ชิ้น ไม่ได้มาตรฐาน 13 ชิ้น ยังไม่สรุปเป็นสาเหตุตึกถล่ม ชี้ต้องดูหลายองค์ประกอบ

ข่าวแนะนำ

DSI รับคดีอาคาร สตง.ถล่ม เป็นคดีพิเศษ

กรุงเทพฯ 2 เม.ย. – ดีเอสไอรับคดีอาคาร สตง.ที่กำลังก่อสร้าง ถล่มหลังเหตุแผ่นดินไหว เป็นคดีพิเศษ จ่อเรียกสอบนอมินีถือหุ้น

พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีคุ้มครองผู้บริโภคและโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้สัมภาษณ์กรณีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ความสูง 30 ชั้น มูลค่างานก่อสร้าง 2,136 ล้านบาท ที่กำลังก่อสร้าง ถล่มหลังเหตุแผ่นดินไหว เป็นคดีพิเศษ

พันตำรวจตรี ยุทธนา เปิดเผยว่า ภายหลังจากเมื่อวานนี้ที่มีการประชุมมอบหมายภารกิจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการรวบรวมข้อเท็จจริงกรณีอาคาร สตง.ที่กำลังก่อสร้างถล่ม ขณะนี้ได้ข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะรับคดีพิเศษ ในประเด็นเกี่ยวกับความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เนื่องจากพบข้อเท็จจริงว่ากรรมการของนิติบุคคลของบริษัท china railway number 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีการจดทะเบียนเป็นกิจการร่วมค้าฯ กับนิติบุคคลของประเทศไทย ในนามกิจการร่วมค้า itd-crec และเข้าเป็นคู่สัญญาในการก่อสร้างนั้น มีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้น ร้อยละ 51 จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าบุคคลสัญชาติไทยดังกล่าวจำนวน 3 คน มีการเข้าไปเป็นกรรมการและถือหุ้นในบริษัทอื่นๆ ร้อยละ 51 ร่วมกับนิติบุคคลต่างชาติอีกเป็นจำนวนมาก ไม่สอดคล้องกับสถานะทางเศรษฐกิจของแต่ละคน

จึงมีเหตุที่จำเป็นต้องทำการสอบสวนให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นกรณีถือหุ้นหรือทุนแทนนิติบุคคลต่างชาติ ซึ่งจะทำให้นิติบุคคลดังกล่าวมีฐานะเป็นคนต่างด้าวตามกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งมีบทบัญญัติห้ามดำเนินธุรกิจการก่อสร้าง รวมทั้งขยายผลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ ว่าเข้าข่ายความผิดทำให้เกิดการแข่งขันราคาอย่างไม่เป็นธรรม และมีการนำวัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มาใช้ในการดำเนินการหรือไม่ต่อไป ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จะมีการประชุมกำหนดแนวทางและประเด็นการสอบสวนโดยด่วนต่อไป

ค้นบริษัทที่ก่อสร้างอาคาร สตง.ที่ถล่ม
ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง นำกำลังเข้าค้นบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์เท็น จำกัด ที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ว่าตั้งบริษัทอยู่ที่พุทธบูชา 44 แยก 11 แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร แต่พบแค่ป้ายชื่อ ไม่พบว่าบริษัทดำเนินการ จึงขยายผลจนพบว่าบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์เท็น จำกัด มาเช่าอาคารพาณิชย์ ย่านจอมทอง กรุงเทพมหานคร เข้าค้นอีกไม่พบบริษัทดังกล่าว

สอบถามชาวบ้านละแวกใกล้เคียงให้ข้อมูลว่าบริษัทดังกล่าวย้ายสำนักงานมาอยู่ที่ซอยอยู่เจริญ แขวงดินแดง เขตดินแดง จึงเข้าค้น ปรากฏว่าพบว่ามีพนักงานบริษัทอยู่ 10 คน เป็นหญิงไทย 8 คน และ Ms.Xin Yu อายุ 32 ปี สัญชาติจีน และนายอ้ายอยู่ แซ่ปี ตรวจสอบพบว่าบ้านหลังนี้มีทั้งหมด 4 ชั้น เช่าเดือนละ 85,000 บาท โดยทำสัญญาเช่าปีต่อปี เช่ามาแล้ว 3 ปี ใช้ชื่อผู้เช่าเป็นคนไทย

ทั้งนี้ ตำรวจได้ค้นหาพยานหลักฐานอย่างอื่น และย้อนกล้องวงจรปิดไปเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 68 พบว่าพนักงานบริษัทดังกล่าวขนเอกสารและสิ่งของออกไปตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงหลังเกิดเหตุอาคาร สตง.แห่งใหม่ถล่ม เพียงแค่ 2 วัน

นายอาคม สุทธิบุญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานเขตดินแดง ลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณอาคารที่จัดตั้งบริษัท ไชน่า เรลเวย์ ภายในซอยรัชดาภิเษก 3 แยก 4-3 เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ให้ข้อมูลว่า ลงพื้นที่มาตรวจสอบสถานที่จริง เพราะสำนักงานเขตมีการตรวจสอบเรื่องภาษีที่ดิน และภาษีป้ายอากรบริษัท ตรวจสอบเบื้องต้นพบมีการชำระภาษีมาจริงตลอด 3 ปี แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีการจ่ายปีละเท่าไร และใครเป็นผู้จ่าย เป็นเจ้าของตึก หรือเป็นผู้เช่าในสัญญาเป็นผู้จ่าย

หากมีการตรวจสอบแล้วว่าถ้าจ่ายภาษีอากรที่ดินและป้ายบริษัทไม่ครบ ก็มีอำนาจที่จะดำเนินการจับปรับตามข้อกฎหมาย เนื่องจากขนาดพื้นที่ที่ดิน ตารางวาหลายแสนบาท.-สำนักข่าวไทย

“ชัชชาติ” เผยเตรียมกู้ 5 ร่างที่พบ-ขนย้ายชิ้นส่วนอาคารแล้ว 100 ตัน

ผู้ว่าฯ กทม. เผยเตรียมกู้ 5 ร่าง จาก 14 ร่างที่พบ ขนย้ายชิ้นส่วนอาคารแล้ว 100 ตัน ยันไม่ขีดเส้นตายหยุดช่วยเหลือ ปรับแผนเพิ่มการรื้อถอนด้วยเครื่องจักรหนักควบคู่ไปมากขึ้น

ตึกถล่ม

วันที่ 6 ปรับแผนใช้เครนยักษ์ยกปูนค้นหา 72 ชีวิต

เข้าสู่วันที่ 6 ทีมงานกู้ซากตึกถล่ม ปรับแผนค้นหา 72 ชีวิต ด้านญาติผู้สูญหายยังคงรอความหวัง บางส่วนจุดธูปปักลงดิน ขอแม่ธรณีเปิดทางช่วยทุกคนรอดชีวิต

นายกฯ เยี่ยมญาติตึกถล่ม

นายกฯ เยี่ยมให้กำลังใจญาติผู้ประสบภัยตึกถล่มที่ศูนย์พักคอย

นายกฯ เข้าเยี่ยมให้กำลังใจญาติผู้ประสบภัยตึกถล่มที่ศูนย์พักคอย “ขอให้ดูแลตัวเอง อย่าพึ่งป่วย”