กรุงเทพฯ 2 มี.ค.- ศาลอุทธรณ์ พิพากษาจำคุกอดีตอธิบดีดีเอสไอและอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรมคนละ 2ปี กรณีสั่งย้ายลูกน้องไม่เป็นธรรม แต่เห็นว่ามีคุณความดีและไม่เคยต้องโทษโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2ปี
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ และ นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พันเอกปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ อดีตผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นโจทก์ฟ้อง ฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
กรณีเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ถึง 8 ตุลาคม 2555 นายธาริต และนายชาญเชาว์ ขณะดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ทำหนังสือโยกย้ายพันเอกปิยะวัฒก์ จากตำแหน่ง ผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ดีเอสไอ ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะคดี ซึ่งมีระดับต่ำกว่าเดิม
สำหรับคดีนี้ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้อง แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้รับไว้พิจารณา และศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุก นายธาริต 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่ยกฟ้องนายชาญเชาว์ จำเลยที่ 2 เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานนำสืบว่า มีเจตนากลั่นแกล้งให้เกิดความเสียหายเกี่ยวกับคำสั่งย้ายโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายธาริต ได้ทำบันทึกเสนอย้ายโจทก์ โดยนายชาญเชาวน์ เป็นผู้ลงนาม เห็นชอบ ซึ่งโจทก์ได้นำสืบว่าตัวเองได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีสำคัญหลายเรื่อง และมีความเห็นขัดแย้งกับนายธาริต หลายเรื่อง ซึ่งนายธาริต ไม่ได้ส่งเรื่องย้ายโจทก์ไปยังคณะกรรมการคดีพิเศษให้พิจารณาก่อน จึงส่อเจตนาว่าปฎิบัติหน้าที่มิชอบ ให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์
ส่วนนายชาญเชาวน์ ศาลเห็นว่า อาศัยโอกาสที่รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงยุติธรรมซึ่งเดินทางไปราชการ ลงนามเห็นชอบคำสั่งย้ายดังกล่าวแทน ซึ่งควรรอให้ปลัดยุติธรรมเดินทางกลับมาเป็นผู้ลงนามเอง เนื่องจากการโยกย้ายข้าราชการเป็นเรื่องสำคัญ และโจทก์ยังมีความขัดแย้งกับนายธาริตด้วย
ศาลจึงพิพากษาแก้ให้จำคุกนายธาริต และนายชาญเชาวน์ คนละ 2 ปี แต่ทั้งสองคนรับราชการทำคุณงามความดีและไม่เคยต้องโทษจำคุก จึงให้รอลงอาญา 2 ปี
ภายหลังนายชาญเชาวน์ ยืนยันว่า การโยกย้ายดังกล่าวเป็นไปด้วยความรอบคอบ แต่ตัวเองเป็นบุคคลที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมเคารพคำพิพากษาของศาล และจากนี้จะหารือก่อนว่าจะยื่นฎีกาหรือไม่
ด้านพันเอกปิยะวัฒก์ ระบุว่าพอใจในผลคำพิพากษา เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้บังคับบัญชากระทำแม้ศาลจะรอลงอาญาจำเลยทั้งสองคน แต่ก็ถือเว่าป็นบรรทัดฐานในการโยกย้ายข้าราชการต่อไป.-สำนักข่าวไทย