กรุงเทพฯ 1 มี.ค.- SPCG เปิดเผยกำไรสุทธิปี 2563 จำนวน 3,026.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 62 เดินหน้าจ่ายปันผลทั้งปี 1.20 บาท เหตุบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ สามารถลดต้นทุนด้านการจัดการและการเงินได้สำเร็จ
นางวันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) (SPCG) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 3,026.4 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น เท่ากับ 2.80 บาท เติบโตขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 ซึ่งมีกำไรสุทธิ จำนวน 3,011.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจำนวน 51.1 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 2
“สาเหตุที่บริษัทสามารถทำกำไรได้ภายใต้สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกเช่นนี้ เนื่องจากบริษัทฯ มีการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ และได้ใช้นโยบายในการบริหารจัดการลดต้นทุนด้านต่างๆ เช่น การเงิน และอื่นๆ เช่น ต้นทุน O&M (Operating & Maintenance) โซลาร์ฟาร์มลดลงถึงปีละ 69 ล้านบาท”นางวันดีระบุ
นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังมีผลกำไรจากอนุพันธ์ของสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ปี 2563 จำนวน 58.4 ล้านบาท เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 บริษัทถือปฏิบัติตาม TFRS 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน เป็นครั้งแรกและบริษัทยังมีผลกำไรจากเงินลงทุนโครงการ Tottori ประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ อีกราว 16.4 ล้านบาท
อีกปัจจัยที่ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่ม เนื่องจากบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด (SPR) ซึ่งดำเนินธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) สำหรับบ้านพักอาศัย สำนักงาน อาคาร ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง และธุรกิจขนาดใหญ่ รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมและอื่นๆ ในปี 2563 มีรายได้จำนวน 526.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 (506.7 ล้านบาท) ประมาณ 19.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 มีมติอนุมัติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 1.20 บาท ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายในงวดนี้ อัตราหุ้นละ 0.65 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันพุธที่ 17 มีนาคม
บมจ. เอสพีซีจี ในฐานะผู้บุกเบิกและผู้นำธุรกิจด้านพลังงานสะอาด จากพลังงานแสงอาทิตย์ ยังคงมุ่งมั่นรักษาสิ่งแวดล้อม และเดินหน้าช่วยลดสภาวะโลกร้อนเทียบเท่ากับการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศของโลกประมาณ 200,000 ตัน CO2 ต่อปี จากการดำเนินงานโซลาร์ฟาร์ม 36 โครงการ รวมกำลังการผลิตกว่า 260 เมกะวัตต์-สำนักข่าวไทย