กรุงเทพฯ 17 ส.ค. – นักวิชาการเกษตรเรียกร้องคณะกรรมการวัตถุอันตรายทบทวนมติยกเลิกใช้พาราควอต งัดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ลบล้างผลวิจัยเดิมเกี่ยวกับความเป็นพิษ ค่าตกค้างที่เป็นสาเหตุของการแบน ยืนยันเป็นผลวิจัยเท็จ วอนประธาน คกก.วัตถุอันตรายประชุมพิจารณาหลักฐานใหม่ด่วน ก่อนถึงเส้นตายที่เกษตรกรต้องส่งคืนสารเคมี 29 ส.ค. นี้
นางจรรยา มณีโชติ นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทยและนางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน อดีตรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าพบนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เลขานุการคณะกรรมการวัตถุอันตราย (คกก.วอ.) เพื่อขอให้ส่งหนังสือเรียกร้องถึงนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประธาน คกก.วอ.ให้ทบทวนมติของการยกเลิกการใช้พาราควอต โดยระบุว่าไม่สมควรใช้ข้อมูลอ้างอิงที่ยังมีข้อสงสัยและไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์มาประกอบการพิจารณายกเลิกการใช้พาราควอต เพราะเกิดความขัดแย้งในสังคมและส่งผลกระทบต่อเกษตรกร รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้ คกก.วอ.นำผลวิจัยของนางพวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล ซึ่งอ้างว่าตรวจพบการตกค้างของพาราควอตในอ่างเก็บน้ำห้วยโซ่ ต.บุญทัน อ. สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู ค่าความเข้มข้นถึง 55 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm) และเชื่อมโยงว่าพาราควอตเป็นสาเหตุของโรคเนื้อเน่าของชาวบ้านในละแวกนั้น ทางสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทยได้เก็บตัวอย่างตะกอนดินและน้ำจากอ่างเก็บน้ำที่อ่างเก็บน้ำห้วยโซ่ บ้านคลองเจริญ และลำน้ำโมงส่งห้องปฏิบัติการของกรมวิชาการเกษตรปรากฏว่า ไม่พบการตกค้างของพาราควอตในตัวอย่างตะกอนดินและน้ำทั้ง 3 แห่ง
ส่วนผลจากภาควิชาจุลชีววิทยาและอิมมิวโนโลยี คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ตรวจพบเชื้อแบคทีเรีย Aeromonas hydrophila สาเหตุโรคเนื้อเน่าทั้งในตะกอนดินและน้ำที่อ่างเก็บน้ำห้วยโซ่ นอกจากนี้ ยังพบเชื้อ Leptospira spp. สาเหตุของโรคฉี่หนูในตะกอนดินจากอ่างเก็บน้ำห้วยโซ่ และลำน้ำโมง นอกจากนี้ สมาคมฯ ได้ศึกษาความเป็นพิษของพาราควอตความเข้มข้นต่าง ๆ ที่มีต่อวัชพืชน้ำ ได้แก่ ผักตบชวา แหน และสาหร่ายพุงชะโด ซึ่งพบว่า วัชพืชน้ำทั้ง 3 ชนิดเริ่มแสดงอาการเป็นพิษที่ระดับความเข้มข้นตั้งแต่ 4 – 100 (ppm) ใน 1 วันและตายหมดใน 3 วัน ดังนั้นหากในอ่างเก็บน้ำมีพาราควอตตกค้างตามความเข้มข้นที่ว่าจริง ทั้งพืชและสัตว์น้ำต้องตายหมด
สำหรับงานวิจัยอีกฉบับของนางพวงรัตน์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นทำให้มีการพิจารณายกเลิกพาราควอต คือ เรื่อง “การวิจัยเชิงบูรณาการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพหน่วยงานท้องถิ่นในการจัดการและป้องกัน การปนเปื้อนของสารพิษบนพื้นที่ต้นน้ำน่าน” ที่ระบุว่า พบสารเคมีปนเปื้อนในประปาหมู่บ้านและโรงงานผลิตน้ำดื่มทั่วจังหวัดน่านเกินค่ามาตรฐานน้ำดื่มสากลทำให้สังคมตื่นตระหนก ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศว่า ผลการตรวจซ้ำ 12 ตัวอย่างจากห้องปฏิบัติการ 2 แห่ง ไม่พบการตกค้างของสารเคมีเกินค่ามาตรฐานน้ำดื่มสากล
นอกจากนี้ ยังงานวิจัยของนางพรพิมล กองทิพย์ เรื่อง “ความเป็นพิษของ พาราควอตต่อการเจริญเติบโตของทารก” ว่า ตรวจพบสารพาราควอตในซีรั่มทารกแรกเกิดและมารดา โดยอ้างถึงเอกสารงานวิจัยร่วมกับโรงพยาบาล 3 แห่ง คือ โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จ.กาญจนบุรี โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ. นครสวรรค์ และโรงพยาบาลอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ ซึ่งทางเครือข่ายอาสาคนรักแม่กลองสอบถามแล้ว ได้รับคำตอบด้วยหนังสืออย่างเป็นทางการจากโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการศึกษาในครั้งนี้ และโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ตอบว่า ไม่พบข้อมูลการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด ส่วนโรงพยาบาลอำนาจเจริญตอบว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาแล้วกว่า 7 ปี ซึ่งผู้บริหารและบุคลากรมีการ เปลี่ยนแปลง ข้อมูลของโรงพยาบาลจึงไม่อยู่ในสภาพที่เป็นปัจจุบันและไม่สามารถจัดทำขึ้นมาใหม่ให้ทราบได้ จากข้อมูลข้างต้นจึงสรุปได้ว่า งานวิจัยของที่นำมาอ้างอิงไม่น่าเชื่อถือและไม่สมควรถูกนำมาใช้พิจารณาในการแบนพาราควอต
นางจรรยา กล่าวว่า ที่ประชุม คกก.วอ. ใช้รายงานการประชุมคณะทำงานเพื่อพิจารณาความคิดเห็นของส่วนรัฐ ผู้นำเข้า เกษตรกร และผู้บริโภค ต่อการยกเลิกคลอร์ไพรีฟอส พาราควอต และไกลโฟเซต ประกอบวาระพิจารณา แต่แท้จริงเอกสารที่ใช้เป็นรายงานคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาแนวทางการควบคุม การใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร : ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์และหลักฐานเชิงประจักษ์ของ สารเคมีกำจัดศัตรูพืช 3 ชนิดมีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม: พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพรีฟอส ไม่ใช่รายงานการประชุมฯ ตามหนังสือนำส่ง อีกครั้งเนื้อหาในเอกสารดังกล่าว อ้างอิงถึงงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากพาราควอต แต่สมาคมฯ สำนักวิจัยและพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร และคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ตรวจสอบข้อมูลจากเอกสารวิจัยต้นฉบับเหล่านั้นพบว่า มีการสรุปเนื้อหาไม่ตรงกับผลงานวิจัยต้นฉบับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ขั้นตอนการยกเลิกพาราควอตน่าเคลือบแคลง
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังไม่มีสารทดแทนที่มีคุณสมบัติ ประสิทธิภาพ และราคาเทียบเท่าพาราควอตให้เกษตรกรใช้เป็นทางเลือก แต่มีผลวิจัยของกรมวิชาการเกษตรเรื่อง “โครงการศึกษาวิธีการจัดการวัชพืชแบบบูรณาการเพื่อลดปริมาณการใช้สารไกลโฟเซต และพาราควอตในพืชเศรษฐกิจ” ตามมาตรการและแผนบริหารจัดการจำกัดการใช้วัตถุอันตราย พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพรีฟอส ที่เสนอต่อ คกก.วอ. เมื่อ 30 สิงหาคม 2561 ซึ่งกำหนดเวลาดำเนินการ 2 ปี ขณะนี้เริ่มต้นดำเนินการปีที่ 2 คาดว่าจะสิ้นสุดภายในปี 2564 ด้วยเหตุนี้ ทางสมาคมฯ เรียกร้องให้ทบทวนมติยกเลิกการใช้ โดยกลับไปอนุญาตให้ใช้พาราควอตภายใต้เงื่อนไขการจำกัดการใช้ (restricted use) ตามมติเดิมของคณะกรรมการวัตถุอันตรายเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 โดยขอให้นำเอกสารทั้งหมดของสมาคมฯ เข้าสู่วาระการประชุม คกก.วอ.ครั้งต่อไป
“หนังสือที่ยื่นวันนี้เป็นข้อมูลใหม่ทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ ซึ่งเลขานุการ คกก.วอ.รับเรื่องเพื่อเสนอต่อประธาน คกก.วอ.แล้ว โดยทางสมาคมฯ จะไปยื่นหนังสือร้องเรียนให้ทบทวนการยกเลิกใช้พาราควอตต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงสาธารณสุข ก่อนวันที่ 29 สิงหาคม ซึ่งเกษตรกรต้องนำพาราควอตมาคืน เพื่อทำลายตามคำสั่งกรมวิชาการเกษตร” นางจรรยา กล่าว.-สำนักข่าวไทย