“ไพรินทร์” แนะทบทวนโครงสร้างไฟฟ้า  PDP 

กรุงเทพฯ 23 พ.ค.-  “ไพรินทร์” แนะทบทวนโครงสร้างไฟฟ้าระบบ PDP  หลังไทยมีไฟฟ้าปริมาณสำรองเกิน  แนวคิดนำก๊าซอ่าวไทย ส่งโรงไฟฟ้าโดยตรง  กกพ. รอนโยบายให้ชัดเจน ประชาชนได้ประโยชน์  ภาคอุตสาหกรรมอาจกระทบหนัก  


นายไพรินทร์  ชูโชติถาวร  ประธานกรรมการ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวระหว่างการร่วมงานสัมมนาเรื่อง  “การวิเคระห์ข้อมูลเพื่อการกำกับกิจการพลังงาน” ว่า การประกาศ MOU  ของ 8 พรรคร่วมรัฐบาล ด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงาน  มองว่า  การลดปริมาณสำรองไฟฟ้า จากปัจจุบันร้อยละ 50  เพราะคาดการณ์เติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวตามแผน PDP  แต่ในช่วงเกิดปัญหาโควิด-19 เศรษฐกิจทรุด  เมื่อใช้ไฟฟ้าน้อยลง จึงมีส่วนเกินปริมาณสำรองจำนวนมาก  มองว่าปริมาณสำรองที่เหมาะสม คือ ร้อยละ 30 หากลดลงเหลือร้อยละ 20 นับว่าสำรองน้อยมากอาจเกิดปัญหาวิกฤติได้   เพราะหากเศรษฐกิจเติบโตการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น ปริมาณสำรองจำนวนมากจะทะยอยลดลงจากปัจจุบัน  โดยเฉพาะในช่วงฤดดูร้อนที่มีการใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก ได้ทำให้ปริมาณสำรองลดลง แนวโน้มในระยะยาวไฟฟ้าสำรองมีจำนวนสูง  ผลดีมากกว่ามีปัญหาขาดแคลน 

“โครงสร้างไฟฟ้าของไทย รัฐเป็นผู้กำหนดจึงเลือกใช้ระบบ PDP   ขณะที่หลายประเทศพลังงานมีความมั่นคง จึงใช้ระบบเพาเวอร์พูล หลายประเทศในอาเซียนใช้ระบบนี้อยู่  เมื่อไทยใช้ระบบ PDP จนมีปริมาณไฟฟ้าสำรองเกิน อาจต้องเปลี่ยนแนวคิดว่า ระบบ  PDP เหมาะสำหรับในยุคพลังงานไฟฟ้าไม่เพียงพอ อาจต้องเปลี่ยนมาเป็นระบบไฟฟ้าเสรีได้หรือไม่ เพื่อให้ทุกเช้ามีการเสนอราคาซื้อขายไฟฟ้าแบบเสรี เพราะไทยถึงจุดปริมาณไฟฟ้าสำรองเกิน ไม่มีปัญหาขาดแคลน จึงขึ้นอยู่กับการเลือกใช้แบบไหน” นายไพรินทร์ กล่าว    


ส่วนแนวคิดนำก๊าซจากอ่าวไทย ส่งไปให้โรงไฟฟ้าโดยตรง   จากนั้นค่อยจัดส่งให้ภาคอุตสหากรรมภายหลัง นับว่าเป็นแนวคิดใหม่และเปลี่ยนนโยบายพลังานครั้งใหญ่ในรอบ 40 ปี สำหรับเมืองไทย จึงต้องศึกษาอย่างรอบคอบ  ยอมรับว่าการผลิตพลังงานมีต้นทุน ประเทศไทยต้องนำเข้า ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลพยามยามที่สุด ไม่มีอะไรปลุกเสกให้พลังงานถูกลงได้ ปัจจุบันไทย ซื้อพลังงานและซื้อความมั่นคง หลายประเทศเพื่อนบ้าน ราคาพลังงานถูก แต่มีปัญหาไฟฟ้าตก ไฟฟ้าดับบ่อยมาก หากยอมจ่ายค่าความมั่นคง ต้องยอมจ่ายเรื่องปริมาณสำรองในสัดส่วนที่เหมาะสม  ยอมรับว่า การปรับโครงสร้างพลังงาน ด้วยการทบทวนแก้ไขสัญญาในการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) นั้น อาจลำบาก เนื่องจากเป็นสัญญามีข้อผูกมัด เพราะข้อตกลงทางกฎหมาย หากมีการแก้ไขรัฐบาลต้องเข้าไปชดเชยดังนั้นการแก้ปัญหาต้องมองไปข้างหน้า 

นายวีระพล   จิรประดิษฐกุล อดีตกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กล่าวยอมรับว่า ราคาพลังงานทดแทนมีความไม่แน่นอน จึงต้องส่งสัญญาณให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ และอยากให้ยกเลิกการอุดหนุนราคา อย่างเช่นการส่งเสริมใช้ก๊าซ NGV เมื่อภาครัฐอุดหนุนราคาต่ำมีคนใช้รถ NGV จำนวนมาก แต่พอยกเลิกอุดหนุนปรับราคาสะท้อนต้นทุน ประชาชนเลิกใช้ รถยนต์ NGV เกือบหมดเหลือแต่รถบรรทุก  สำหรับการส่งเสริมใช้รถยนต์ไฟฟ้าแนะนำให้ชาร์จแบตในช่วงกลางคืนเพราะราคาถูกกว่าการชาร์จในช่วงกลางวัน  ยอมรับว่าการชาร์จด้วยระบบควิกชาร์จในเวลานั้นๆ ทำให้แบตเสื่อมมากกว่าการค่อยๆชาร์จในช่วงกลางคืน 

นายคมกฤช  ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน  (กกพ.)  กล่าวว่า แนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะไทยมีระบบสายส่งไฟฟ้ากระจายทั่วประเทศ สำหรับพลังงานไฮโดรเจนยังหาที่เติมลำบาก รัฐบาลจึงต้องเลือกแนวทางส่งเสริมว่าจะเลือกส่งเสริมอย่างไร ขณะนี้ภาครัฐพยายามส่งเสริมการตั้งสถานีชาร์จกระจายทุกภูมิภาคให้เพียงพอ  ส่วนแนวคิดนำก๊าซจากอ่าวไทย  ส่งไปให้โรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าโดยตรง   จากนั้นค่อยจัดส่งให้ภาคอุตสหากรรมภายหลัง  เคยใช้นโยบายดังกล่าวมาแล้วในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ที่ผ่านมา แต่ทำให้ต้นทุนไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเพิ่ม อาจส่งผลไปยังต้นทุน และกระทบราคาสินค้าเพิ่ม รัฐบาลชุดใหม่จึงต้องตัดสินใจ ส่วน สำนักงาน กกพ.พร้อมดำเนินการตามนโยบาย 


นายไพรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า รถไฟฟ้า คือ รถดิจิทัลวิ่งได้เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่  นิยมใช้กันหลายประเทศทั่วโลกขณะนี้จีน กลายเป็นผู้ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก และหากค่ายรถยนต์จีน ขยายเข้ามาลงทุนในประเทศ อาจได้เห็นรถยนต์ราคา 2-3 แสนบาท วิ่งบนถนนได้ในเมืองไทยในอนาคต ขณะที่พลังงานด้านอื่น อาจต้องปรับตัว อย่างเช่น รถยนต์โตโยต้าพลังงานจากไฮโดรเจน ต้องปิดโรงงานในสหรัฐไปแล้ว เพราะคนรุ่นใหม่หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมาก  ยอมรับว่าเทคโนโลยีในการผลิตแบตเตอรี่ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก  มีการพัฒนาก้าวหน้าเพิ่มขึ้น ทั้งขนาดเล็กลง และจัดเก็บพลังงานได้สูงมาก การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า จึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา.-สำนักข่าวไทย  

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ธปท.ย้ำเร่งปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ ทำให้ร้านค้ามั่นใจ

กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ “ธปท., ธนาคาร, ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่นวงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้า ที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบ เพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้า ให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 […]

ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ”

กทม. 15 ก.ย.-ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” หลังครบ 5 วันกักโรค และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม หลังครบ 5 วัน การกักตัวเฝ้าระวังโรคโควิด-19 และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติตามรายชื่อ 10 คน และทนายความ เข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก โดยก่อนหน้านี้ พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่าอาการของนายทักษิณ โดยรวมดีขึ้น ความดันสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งการเข้าเยี่ยมจะเป็นการพูดคุยผ่านกระจกใส เพื่อความปลอดภัย ล่าสุด ครอบครัวชินวัตรเดินทางมาถึงเรือนจำคลองเปรมแล้ว นำโดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์, น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวคนโต และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี.-สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุม เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน

บช.ก. 15 ก.ย. – “บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุมธานี เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน ฝากให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหาย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวพระวัดดังจังหวัดปทุมธานี ที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินวัดจำนวน 12.2 ล้านบาท ที่โอนเข้าบัญชีสีการายหนึ่ง ว่า เรื่องนี้ทราบว่ามีคนแจ้งความและเป็นคดีความอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ และได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากพอสมควร ซึ่งสีกาคนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสีกาที่ทางตำรวจเพ่งเล็งอยู่หรือไม่จะต้องตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วย แต่คดีนี้หลักๆ จะดูที่เส้นทางการเงินของบัญชีวัด หากพบใครเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินการ ส่วนกรณีที่ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม นำหลักฐานออกมาโพสต์ผ่านโซเชียลนั้น ก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนจะเรียกเข้าสอบหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเรื่องนี้จะชัดเจน มีรายงานว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้พบว่ามี 8 คน รวมพระด้วยเป็น 9 คน จึงอยากฝากถึงพระว่า ให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหายเนื่องจากมีหลักฐานจำนวนมาก.-419-สำนักข่าวไทย

บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กทม. 16 ก.ย.-บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เกือบ 5 ล้าน แต่ยายไม่ฟัง ไม่เชื่อว่าโดนหลอก ไล่ตำรวจกลับไป แถมโทรฟ้องมิจฉาชีพว่าตำรวจมากวน สุดท้ายเข้าแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ตะโกนคุยกับคุณยายวัย 83 ปี ข้ามรั้วประตูบ้าน ว่า อย่าโอนเงินให้มิจฉาชีพอีก หลังธนาคารพบความผิดปกติ เนื่องจากคุณยายถอนเงินออกมาหลายล้านบาท จึงประสานงานไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ให้แจ้งมายังตำรวจนครบาล เพื่อตรวจสอบการโอนเงินของคุณยายโดยด่วน ปรากฏว่า เมื่อตำรวจมาถึงบ้าน คุณยายไม่เชื่อ แถมยังคุยโทรศัพท์กับตำรวจปลอมในมือถือตลอดเวลา แล้วไม่เชื่อว่า ตำรวจที่มาหน้าบ้านเป็นตำรวจจริง จนตำรวจตัวจริงอ่อนใจ ทำได้เพียงแค่ประสานงานผู้นำในชุมชนให้ช่วยดูแลคุณยาย และเตือนเรื่องนี้ ล่าสุดคุณยายมาแจ้งความแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน แต่ยังไม่ได้เงินคืน ข้อมูลของตำรวจพบว่า คุณยายโอนเงินไปทั้งหมด 5 ครั้งครั้งแรกวันที่ 3 กันยายน ฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง 3.5 ล้านบาทวันที่ 4 กันยายน โอนเงินสดไป 400,000 บาทวันที่ […]

ข่าวแนะนำ

ปิดล้อมกว่า 8 ชม. จับหนุ่มคลั่งควงปืนสงครามขู่ยิง ตร.

ศรีสะเกษ 17 ก.ย. – พ่อค้ายาเสพติดคลุ้มคลั่ง ควงปืนสงคราม AK-47 ขู่ยิงเจ้าหน้าที่ หลังถูกชุดปฏิบัติการ 238 พิทักษ์นครลำดวน สนธิกำลังตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ปิดล้อมบ้านเป้าหมายพื้นที่ อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ เกลี้ยกล่อมนานกว่า 8 ชั่วโมง สุดท้ายทนแรงกดดันไม่ไหว ยอมวางอาวุธมอบตัวแต่โดยดี เจ้าหน้าที่พยายามใช้ยุทธวิธีเจรจาเกลี้ยกล่อมนายวีระศักดิ์ อายุ 35 ปี มีประวัติพัวพันการค้ายาเสพติด ครอบครองอาวุธสงคราม และยังเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งวิ่งเข้าไปหลบภายในบ้าน ต.หนองกุง อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ หลังตำรวจแสดงตัวเข้าตรวจค้น เพราะได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่าเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ มีพฤติกรรมอุกอาจ แต่นายวีระศักดิ์กลับวิ่งไปหยิบอาวุธปืนสงคราม AK-47 ออกมาขู่เจ้าหน้าที่ พร้อมตะโกนด้วยเสียงดุดันว่าถ้าเข้ามาจะยิง จากนั้นรีบหลบกลับเข้าไปในบ้าน เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ปิดล้อมบริเวณโดยรอบอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันเหตุร้าย บรรยากาศตึงเครียด เจ้าหน้าที่พยายามใช้ยุทธวิธีเจรจาเกลี้ยกล่อม ทั้งให้พ่อแม่และญาติสื่อสารทางโทรศัพท์ หวังให้ผู้ต้องหายอมมอบตัวแต่ไม่เป็นผล เนื่องจากนายวีระศักดิ์ยังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งจากการเสพยาบ้า ถือปืนพร้อมยิงตลอดเวลา นานกว่า 8 ชั่วโมง […]

ช่องโดนเอาว์เจอ PMN-2 อีก 8 ทุ่น ทบ.ชี้เขมรยังละเมิดข้อตกลง

17 ก.ย.- ทบ. แจงตรวจพบ PMN-2 เพิ่มเติมอีก 8 ทุ่นบริเวณช่องโดนเอาว์ จ.ศรีสะเกษ ชี้กัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ย้ำควรรับผิดชอบและร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงใจ วันนี้ (17 ก.ย.68) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่ากองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ภายหลังจากที่กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 132 ฐานปฏิบัติการชนะศึก ได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อเสริมภารกิจด้านความมั่นคงในพื้นที่ช่องโดนเอาว์ ฐานปฏิบัติการชนะศึก อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ วานนี้ (16 ก.ย.68) โดยได้ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 จำนวน 8 ลูก มีสภาพใหม่ ติดตั้งในลักษณะพร้อมทำงาน ซึ่งทางหน่วยได้ทำการเก็บกู้รื้อถอนและนำเก็บเพื่อรอการทำลายเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการตรวจพบระเบิดดังกล่าว เป็นเครื่องยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีความพยายามอย่างไม่ลดละในการใช้อาวุธต่อกำลังของฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน และเป็นพฤติกรรมที่สวนทางกับข้อตกลงที่กัมพูชาได้ให้ไว้ในที่ประชุม GBC เมื่อวันที่ 10 ส.ค.68 ที่ผ่านมา ในเรื่องความร่วมมือที่จะดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งจากนี้กองทัพบกจะนำหลักฐานที่ได้ตรวจพบทั้งหมดในพื้นที่ รวบรวมนำส่งให้ส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อร้องเรียนตามกระบวนการในเวทีสากลต่างๆ ต่อไป รวมทั้งขอความร่วมมือกัมพูชา […]

ไทม์ไลน์เหตุเผชิญหน้า “บ้านหนองหญ้าแก้ว” เขมรป่วนไม่เลิก

17 ก.ย.- เปิดไทม์ไลน์เหตุเผชิญหน้า “บ้านหนองหญ้าแก้ว” เจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตา-กระสุนยาง หลังชาวเขมรชุมนุมประท้วง ก่อความวุ่นวาย ล่าสุดสถานการณ์ทั่วไปอยู่ในความควบคุม แต่กลุ่มชาวกัมพูชายังคงปักหลักใกล้แนวชายแดน.-สำนักข่าวไทย

ทำเนียบฯ เตรียมพร้อมสถานที่รับนายกฯ-ครม.ใหม่

ทำเนียบ 17 ก.ย.- ทำเนียบรัฐบาล เตรียมพร้อมสถานที่รับนายกฯ-ครม.ใหม่ ถ่ายรูปติดบัตร ก่อนถวายสัตย์ปฏิญาณ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลได้จัดเตรียมสถานที่สำหรับถ่ายรูปติดบัตรประจำตัวของคณะรัฐมนตรี ก่อนเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอน และยังมีการตัดแต่งต้นไม้ บริเวณโดยรอบทำเนียบรัฐบาล และตัดหญ้าด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (16 ก.ย.) นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวที่ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา และวันนี้มีการส่งทีมงานเข้ามาดูห้องทำงานภายในตึกบัญชาการ 1 ด้วย สำหรับตำแหน่งว่าที่รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลอนุทิน มีชื่อทั้งหมด 7 คน ได้แก่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี และนายโสภณ​ ​ซา​รัมย์​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​ ขณะที่ตำแหน่งว่าที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี […]