สธ.23 ก.ค.-สธ.ย้ำหากระบาดโควิดระลอก 2 ไม่เหมือนระลอก 1 แน่นอน เหตุ เพราะคนป้องกันสวมหน้ากากอนามัยแต่จะให้ไม่เกิดระบาดเลย เป็น ไปไม่ได้ ชี้หากเกิดระบาดในประเทศใช้ปิดแค่บางจุดหรือระยองโมเดลไม่ปิดทั้งประเทศ
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการแถลงข่าว โครงการสุขภาวะของคนทำงานด้วย Healthy Living ว่า ก่อนจะมีโรคโควิด-19 พบปัญหาจากการสำรวจสุขภาพประชาชนด้วยการตรวจร่างกาย คือ โรคเบาหวานในประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 9ในรอบ 5 ปีเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ2 ของคนอายุ 15 ปีขึ้นไปหรือราว 1ล้านคน เช่นเดียวกับโรคความดันโลหิตสูงจากร้อยละ20 เป็นร้อยละ 24. 7 ปัจจุบันประเทศไทยมีคนเป็นเบาหวานเกือบ 4 ล้านคนและความดันโลหิตสูงเกือบ 10 ล้านคน กระจายในทุกกลุ่มอายุและอยู่ในผู้สูงอายุมากกว่า ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังและส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง เมื่อโรคโควิด-19เข้ามายิ่งซ้ำเติมมากขึ้น จึงมีความสำคัญที่จะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างสุขภาวะในกลุ่มคนทำงานและทุกกลุ่มผู้คนหรือ healthy leaving
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า หลังมีการผ่อนปรนระยะต่าง ๆ ภาคสังคมและภาคกิจการก็มีการดำเนินกิจการกิจกรรมมากขึ้น แต่ที่สำคัญแม้ว่าสถานการณ์ในประเทศจะดีแต่ทั่วโลกยังมีปัญหา ฉะนั้นสิ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่กับการผ่อนปรนเพื่อให้เศรษฐกิจสังคมขับเคลื่อน คือการดำเนินการแบบวิถีชีวิตใหม่ ซึ่งภาคส่วนที่สำคัญเรื่องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคืออุตสาหกรรมและการค้า จึงต้องดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้โรคโควิด-19เข้าสู่สถานที่ทำงาน เพราะข้อมูลที่มาส่วนหนึ่งของผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเป็นผู้ทำงานในภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้าและภาคบริการ
ในเชิงการป้องกันมีการดำเนินการเรื่องอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ในสถานประกอบการ แต่ส่งที่มาเพิ่มเข้าไป คืออาชีวอนามัยที่สามารถจะได้ผลในการป้องกันไม่ให้บุคลากรติดโรคโควิด-19 เพราะเมื่อติดก็จะต้องมีมาตรการปิดสถานที่ โดยควรจะมีการดำเนินการ 3 ระดับ ประกอบด้วย ระดับที่ 1 เจ้าของกิจการ ต้องมีความชัดเจนในการกำหนดเป็นนโนบาย ถ่ายทอดไปสู่ทุกส่วนในองค์กร และกำหนดมาตรการในการดูแลป้องกัน ระดับที่ 2 งานบุคคล เป็นส่วนสำคัญในการประเมินเรื่องการติดเชื้อและความเสี่ยงต่อสุขภาพ และระดับที่ 3 บุคคลทุกคนในองค์กร ซึ่ง 3 เรื่องต้องทำทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างให้เหมาะสมกับการทำงานของสถานประกอบการ
ส่วนหากมีการระบาดระลอก 2 ในประเทศไทย จะมีการดำเนินการอย่างไรในกรณีของสถานประกอบการ นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า การตั้งเป้าว่าประเทศไทยไม่มีผู้ป่วยเลยจนกว่าจะมีวัคซีนนั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะทั่วโลกมีการระบาดอยู่จำนวนมาก และท้ายที่สุดเป็นไปได้ที่จะมีการระบาดในประเทศไทย แต่จะต้องคุมการระบาดให้อยู่ในระดับที่จัดการได้ เมื่อมีผู้ติดเชื้อเกิดขึ้นก็ต้องดูแลควบคุมให้โรคสงบโดยเร็ว และหากจำเป็นต้อง ล็อกดาวน์ก็เลือกเลือกเฉพาะบางที่ บางแห่ง ไม่ใช่ทำทั่วประเทศ เหมือนกับที่จังหวัดระยองซึ่งเป็นโมเดลและเชื่อว่าจะได้รับความร่วมมือจากสถานประกอบการต่างๆเป็นอย่างดี เพราะไม่ต้องการให้เกิดการระบาด ในสถานประกอบการแน่นอน
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ระลอกที่ 2 หากเกิดขึ้นจะไม่มีลักษณะเหมือนระลอกที่ 1 ด้วยปัจจัย 3 ข้อ คือ1.ไม่ได้ปล่อยให้ผู้คนเดินทางเข้าประเทศโดยไม่ได้จัดการ 2.ในระลอกที่1 ผู้คนทั้งสังคมยังไม่มีการดำเนินการเรื่องมาตรการ สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่างเท่าที่ควร แต่ปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 80 มีการป้องกันตนเอง และ 3.การเตรียมความพร้อม และประสบการณ์ทั้งของภาครัฐ เอกชนและประชาชน ที่มีการบูรณาการและเตรียมทรัพยากรไว้.-สำนักข่าวไทย