กรุงเทพฯ 21 ก.ค. – ก.อุตฯ เร่งงานวิจัยผลิตเส้นใยกันชงคุณภาพลดนำเข้า พร้อมส่งเสริมการผลิตที่ได้มาตรฐานสากลและส่งออกชิงส่วนแบ่งตลาดกัญชงโลก
นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมสั่งการให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมโดยสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ วิจัยกระบวนการผลิตเส้นใยกันชงที่มีคุณภาพ จากนั้นให้นำเสนอต่อคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชงอย่างเป็นระบบในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบต่อไป เพื่อให้อุตสาหกรรมนี้เกิดขึ้นช่วยลดการนำเข้า รวมทั้งขยายผลในเชิงพาณิชย์ เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดโลกต่อไป
นายสุชาติ กล่าวว่า สาเหตุที่ให้วิจัยกระบวนการผลิตเส้นใยกันชงที่มีคุณภาพ เนื่องจากปัจจุบันผลิตภัณฑ์สิ่งทอจากเส้นใยกัญชงได้รับความนิยมมาก อุตสาหกรรมกัญชงในตลาดโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2019 มูลค่าการตลาด 4.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 124.6 ล้านบาท และคาดว่าปี 2568 มูลค่าการตลาดจะมีโอกาสเติบโตถึง 26.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 824.6 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 34 จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทยในการเข้าถึงส่วนแบ่งทางการตลาดนี้
นายเจตนิพิฐ รอดภัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ระบุว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้รวบรวมข้อมูลการใช้ประโยชน์และแนวทางการพัฒนาเส้นใยกัญชงนำเสนอคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชงอย่างเป็นระบบในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ เพื่อเป็นข้อมูลในมิติของอุตสาหกรรมสำหรับประกอบการพิจารณาของคณะกรรมมาธิการวิสามัญฯ
นอกจากนี้ จะผลักดันและส่งเสริมพืชกัญชงในภาคอุตสาหกรรมผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเครื่องจักรและเครื่องมือ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค เพิ่มขีดความสามารถที่จะแข่งขันในตลาดของอเมริกา ยุโรป และเอเชีย โดยองค์ความรู้เทคโนโลยีในการผลิตและการแปรรูป การส่งเสริมด้านการตลาด รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน สร้างความเชื่อมั่นและช่วยสนับสนุนเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการผ่านการจัดทำมาตรฐานเส้นใยกัญชงที่มีคุณภาพ เพื่อการยกระดับให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคจากนานาชาติต่อไป.-สำนักข่าวไทย