กรุงเทพฯ 4 ก.ค. – พาณิชย์หารือเจโทร สำรวจแนวโน้มเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น เดินหน้าฝ่าวิกฤติโควิด-19
นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมผู้แทนสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ได้หารือกับนายอัตสึชิ ทาเคทานิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) และผู้แทนหอการค้าญี่ปุ่น – กรุงเทพฯ (JCC) เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา เรื่องผลการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มทางเศรษฐกิจของไทยและสถานการณ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ซึ่งจัดทำโดย JCC เป็นประจำทุกปี ๆ ละ 2 ครั้ง
นายสรรเสริญ เปิดเผยว่า ในช่วง 18 พฤษภาคม – 10 มิถุนายน 2563 JCC ได้ทำการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจไทยสำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2563 และการคาดการณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 จากกลุ่มตัวอย่างบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งผลการสำรวจพบว่าแม้เศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในภาวะซบเซา เพราะสถานการณ์การระบาดของ โควิด-19 และยังไม่สามารถประเมินความรุนแรงของผลกระทบได้ชัดเจน แต่ภาคธุรกิจและภาครัฐสามารถร่วมมือกัน เพื่อเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้ ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลไทยกับภาคธุรกิจญี่ปุ่น จึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับเศรษฐกิจของทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นทั้งนักลงทุนและคู่ค้าที่สำคัญของประเทศไทย
ทั้งนี้ กว่าร้อยละ 45 ของผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่ลงทุนในไทย 631 บริษัท ตอบแบบสำรวจ เห็นว่า รัฐบาลไทยมีมาตรการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ที่เหมาะสม และบริษัทเหล่านั้น เข้าใจถึงความจำเป็นของรัฐบาลที่ต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างปัญหาปากท้องและความปลอดภัยของประชาชน รวมทั้งสนับสนุนความพยายามของรัฐบาลไทยทั้งโดยการบริจาคเงินทุน และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น บริจาคห้องตรวจหาเชื้อให้กับโรงพยาบาลรามาธิบดี
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังเปิดโอกาสให้ JETRO และ JCC หารือเรื่องข้อกังวลและการสนับสนุนที่ภาคเอกชนญี่ปุ่นต้องการ ซึ่งบริษัทที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ต้องการให้ไทยมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ส่งผลเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น เช่น การสนับสนุนธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เป็นพิเศษ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การสนับสนุนค่าจ้างแรงงานเพื่อลดการว่างงาน การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับบริษัทต่างชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ เนื่องจากจะมีนักธุรกิจและนักลงทุนจากญี่ปุ่นเดินทางมาไทยจำนวนมาก การสื่อสารที่ชัดเจนจึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและช่วยอำนวยความสะดวกต่อการวางแผนงานของบริษัทญี่ปุ่น ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงควรเตรียมการและสื่อสารเรื่องกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง การออก visa และ work permit รวมทั้งกระบวนการคัดกรองและกักตัวให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าใจและปฏิบัติตามได้อย่างชัดเจน
นายสรรเสริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์มีการดำเนินการเพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19 และพัฒนาเศรษฐกิจของไทยสอดคล้องกับข้อเสนอของภาคเอกชนญี่ปุ่นหลายประการ เช่น การส่งเสริมการใช้เครื่องมือดิจิทัลในการทำธุรกรรม การติดตามสถานการณ์ห่วงโซ่การผลิตที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากโควิด-19 การมีบทบาทในเวทีโลก โดยเฉพาะการสนับสนุนความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมภายใต้กรอบอาเซียน เพื่อให้การผลิตและขนส่งสินค้าในภูมิภาคเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และแม้ว่าบริษัทญี่ปุ่นที่ตอบแบบสำรวจจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกอย่างมาก แต่ทุกภาคส่วนยังมองว่าแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 น่าจะดีขึ้นกว่าเดิม และผลการสำรวจดังกล่าวเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อภาครัฐของไทยในการพัฒนาและดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้อง ทั้งการแก้ไขปัญหาโควิด-19 และการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไป.-สำนักข่าวไทย