ฮ่องกง 28 พ.ค.- นักวิเคราะห์มองว่า การที่สหรัฐประกาศถอนสถานภาพพิเศษที่ให้แก่ฮ่องกงอาจมีผลใหญ่หลวง หรืออาจเป็นการเคลื่อนไหวในเชิงสัญลักษณ์ ขึ้นกับการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
หลายประเทศรวมทั้งสหรัฐออกกฎหมายอนุญาตให้ปฏิบัติต่อฮ่องกงในฐานะคู่ค้าที่แยกจากจีนแผ่นดินใหญ่ หลังจากจีนทำข้อตกลงรับมอบฮ่องกงจากอังกฤษในปี 2540 ว่าจะใช้หลักการหนึ่งประเทศสองระบบ เพื่อให้ฮ่องกงมีเสรีภาพและการปกครองตนเองในระดับหนึ่งเป็นเวลานาน 50 ปี ครอบคลุมเรื่องเศรษฐกิจตลาดเสรี ระบบตุลาการอิสระ เสรีภาพในการแสดงความเห็น และรัฐสภาท้องถิ่น เศรษฐกิจฮ่องกงขับเคลื่อนไปอย่างราบรื่นและสามารถรักษาความเป็นศูนย์กลางการเงินแห่งหนึ่งของโลกเพราะมีข้อตกลงวีซ่าฟรีต่างตอบแทนกับหลายประเทศ ตรึงค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงกับดอลลาร์สหรัฐ มีตลาดหลักทรัพย์ใหญ่อันดับสี่ของโลก มีกฎหมายและระบบภาษีที่เป็นมิตร และมีความคุ้มครองทางกฎหมาย
นายโรเบิร์ต สปัลดิง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสหรัฐ-จีน สถาบันฮัดสันให้สัมภาษณ์สำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า หากสหรัฐเลือกใช้มาตรการแข็งกร้าวกับฮ่องกง สหรัฐจะเสี่ยงเสียความเชื่อมโยงทางการเงินทั้งหมดที่โยงจีนกับตลาดเสรี หากเป็นเช่นนั้นตลาดหลักทรัพย์ พันธบัตร ธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดจะตกอยู่ในอันตราย ขณะที่นายจูเลียน กู ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยฮอฟสตรามองว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีความยืดหยุ่นสูง เขาอาจเปลี่ยนระบบภาษีที่ใช้กับฮ่องกงให้เหมือนที่ใช้กับจีน หรืออาจทำให้ฮ่องกงส่งออกสินค้าไฮเทคยากขึ้น หวังว่าผู้นำสหรัฐจะดำเนินมาตรการที่แสดงให้จีนเห็นว่าเขาจริงจังกับเรื่องที่จีนใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติกับฮ่องกง แต่คงไม่แก้ไขกฎหมายทุกอย่างที่ใช้กับฮ่องกง และอาจจะงดดำเนินการบางอย่างเพื่อจูงใจให้จีนอ่อนข้อลง
เอเอฟพีตั้งข้อสังเกตว่า นโยบายของทรัมป์ต่อจีนขึ้นลงรวดเร็วราวปรอท เขาแสดงความแข็งกร้าวต่อจีนในเรื่องการค้า แต่แทบไม่สนใจเรื่องสิทธิมนุษยชน ซ้ำยังพูดถึงประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนในแง่ดี ขณะเดียวกันคงไม่อยากให้ข้อตกลงการค้ากับจีนสั่นคลอนในช่วงที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนนี้ และธุรกิจอเมริกันจะเสียหายหนักหากสหรัฐลงโทษทางเศรษฐกิจกับฮ่องกง เพราะบริษัทอเมริกันเกือบ 300 แห่งมีสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคอยู่ในฮ่องกง และอีก 434 แห่งตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคในฮ่องกง นอกจากนี้สหรัฐยังเกินดุลการค้าฮ่องกงมากที่สุดถึง 31,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 990,697 ล้านบาท) ในปี 2561.- สำนักข่าวไทย