วัดราชบพิธฯ 21 พ.ย.- สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระดำรัสต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เยือนไทยอย่างเป็นทางการ กระชับความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมายาวนานของสองศาสนา
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระดำรัสต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ในโอกาสเสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 20-23 พฤศจิกายน 2562 ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ความว่า
“ขอถวายพระพร สมเด็จพระสันตะปาปา ผู้ทรงสมณคุณ อาตมาภาพ ในนามคณะสงฆ์ไทย ขอถวายอนุโมทนาสาธุการ ในโอกาสที่พระองค์เสด็จเยือนราชอาณาจักรไทย และเสด็จมาทรงเยี่ยมอาตมาในวาระนี้ นับเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพึงจดจารึกไว้เป็นศุภนิมิตแห่งน้ำใจไมตรีที่ศาสนจักรโรมันคาทอลิกกับพุทธจักรไทยมีสืบเนื่อง กันมาอย่างแน่นแฟ้นราบรื่นและงดงามเป็นเวลาเนิ่นนานนับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
เมื่อ 35 ปีล่วงมาแล้ว ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เฉพาะพระพักตร์พระพุทธอังคีรส ประธานพระอุโบสถแห่งนี้ สมเด็จพระอุปัชฌา ยะของอาตมาภาพ คือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ ได้เสด็จลงทรงรับสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก ที่ประมุขแห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิก เสด็จมาทรงเยี่ยมประมุขแห่งพุทธจักรไทย ณ ราชอาณาจักรไทย ภาพเหตุการณ์ ในวันนั้นยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของอาตมาภาพผู้มีโอกาสได้เฝ้าอยู่ในการดังกล่าวด้วย ทั้งสองพระองค์ทรงปราศรัยกันทรงแสดงพระอัธยาศัยอันงามต่อกัน บนพื้นฐานแห่งพระเมตตาจิตอย่างแท้จริง ในฐานะนักบุญ ผู้ประเสริฐแห่งสองศาสนาซึ่งมุ่งหมายจะแผ่ความปรารถนาดีอย่างจริงใจ ไปสู่ทุกชีวิตอย่างไม่ประมาณเป็นอุดมการณ์ร่วมกัน
ขอถวายพระพรทรงทราบว่าใต้ฐานพระพุทธอังคีรสยังเป็นที่บรรจุพระบรม อัฐิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 13 เมื่อพุทธศักราช 2440 เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรังคารพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีนาถ ผู้เคยเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 11 เมื่อปีพุทธศักราช 2477 อีกทั้งเป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผู้เคยเสด็จ พระราชดำเนินไปเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23 เมื่อพุทธศักราช 2503 และทรงเคยรับเสด็จสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 ซึ่งเสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยเมื่อพุทธศักราช 2527
สถานที่แห่งนี้จึงเป็นมงคลสถานสำหรับการพบกันของเราทั้งสอง ด้วยส่วนแห่งพระวรกายของทุกๆพระองค์ยังคงประดิษฐานเป็นสักขีพยานแห่งมิตรภาพซึ่งได้ทรงสร้างสรรค์ไว้นับตั้งแต่อดีตสมัย หากแต่ละพระองค์มีพระวิญญาณวิถีใดที่จะทรงหยั่งทราบคงจะทรงโสมนัสพระราชหฤทัยไม่น้อย ที่ได้ทอดพระเนตรเห็นความเจริญงอกงามแห่งทางพระราชไมตรี เป็นภาพอันน่าประทับใจอีกครั้งในวันนี้ การเสด็จมาครั้งนี้ของพระองค์จึงไม่ใช่การมาของมิตรใหม่ แต่เป็นการมาเยือนของมิตรแท้อันเก่าแก่ของไทย ระยะทางที่ห่างไกลกันหาใช่อุปสรรคของความสนิทสนมกลมเกลียวกันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ว่า ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมมีผู้บูชาในที่ทั้งปวง ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมผ่านพ้นศัตรูทั้งปวง
บัดนี้ มหาบพิตรทรงพระอุตสาหกรรมพระวรกายบนหนทางแสนไกล เสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยและมาทรงเยี่ยมอาตมา ด้วยน้ำพระทัยอันเปี่ยมด้วยมิตรภาพถึงที่นี้อาตมาภาพขอสนองน้ำพระทัยอันเปี่ยมด้วยมิตรภาพนั้นๆ ตอบถวายเป็นหลายเท่าทวีคูณด้วยอานุภาพแห่งพระเมตตาธรรมซึ่งพระองค์ทรงเจริญมั่นอยู่ในพระหฤทัยและด้วยศุภผลแห่งกุศลเหตุ คือความไม่ประทุษร้ายมิตร ขอพระองค์ทรงสถาพรเป็นปูชนียสถานอันประเสริฐของศาสนิกบริษัทและทรงพระเจริญในสมณคุณค้ำจุนให้ผ่องแผ้ว ผ่านพ้นพิบัติทั้งปวง สมตามพระพุทธานุศาสนี ดังอาตมาภาพอัญเชิญมาอ้างเป็นสัจจะวาจาข้างต้นนี้ทุกประการ ขอถวายพระพร”
ต่อจากนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส กราบทูลสมเด็จพระอริยวงศาค ตญาณสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ความว่า
“กราบทูลทราบฝ่าพระบาทหม่อมฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระดํารัสต้อนรับของฝ่าพระบาทและปีติอย่างยิ่งที่ได้เริ่มต้นภารกิจแรกของการเยือนราชอาณาจักรนี้ โดยการมาเฝ้าฝ่าพระบาท ณ วัดราชบพิธฯ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณค่าอันประเสริฐ อีกทั้งได้เรียนรู้คำสอนในพระพุทธศาสนาที่แสดงถึงคุณลักษณะของปวงชนอันเป็นที่รักของผู้เป็น ศาสนิกชนส่วนใหญ่ของประเทศไทยพระพุทธศาสนาเกื้อกูลให้เคารพต่อชีวิตดูแลผู้อาวุโส ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย บนพื้นฐานความตั้งมั่นแห่งจิต การปล่อยวางความเพียรและความมีวินัย เป็นลักษณะที่เฉพาะอัตลักษณ์พิเศษของคนไทย ทำให้ผืนแผ่นดินนี้เป็นที่รู้จักในนามของประเทศแห่งรอยยิ้ม การพบปะระหว่างฝ่าพระบาทและหม่อมฉันในวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิถีแห่งความชื่นชมและการยอมรับซึ่งกันและกันที่บรรดาผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าเรา ได้เริ่มต้นไว้ หม่อมฉันปรารถนาที่จะให้การพบปะในวันนี้เป็นการเจริญรอยตาม พร้อมทั้งกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างศาสนิกของเรา โดยเฉพาะเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้วสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณณสิริ) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 17 เมื่อครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระวันรัตเสด็จ พร้อมด้วยคณะพระเถระไปเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ณ นครรัฐวาติกัน อันเป็นเหตุการณ์สำคัญในการพัฒนาการเสวนาระหว่างศาสนาทั้ง2 นำไปสู่การที่สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 เสด็จมาเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ 18 และในกาลต่อมาฝ่าพระบาทยังทรงพระกรุณาโปรดประทานอนุญาตให้คณะพุทธบริษัท จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม นำบทแปลพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ ซึ่งจารึกเป็นภาษาบาลีและถูกเก็บรักษาอยู่ในหอสมุดวาติกันเดินทางไปมอบให้หม่อมฉัน เป็นโอกาสให้หม่อมฉันได้ต้อนรับด้วยความชื่นชมยินดี นับเป็นก้าวสำคัญประจักษ์พยานว่าวัฒนธรรมแห่งการพบปะฉันมิตร เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่เพียงแต่ต่อบรรดาศาสนิกชนของเราแต่ยังพึงไปในชาวโลก ซึ่งนับว่ามีแนวโน้มจะยุยงให้เกิดความแตกแยก เมื่อเรามีโอกาสที่จะเข้าใจและให้เกียรติซึ่งกันและกัน แม้ว่ามีความแตกต่างกันบ้าง แต่ในที่สุดก็จะบังเกิดผลอันดีงามสู่ชาวโลก วาจาแห่งความหวังย่อมสามารถให้กำลังใจและพลิกฟื้นบุคคลผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความแตกแยกได้
ในศุภวาระเช่นนี้เตือนสติพวกเราให้เข้าใจความสำคัญของศาสนาในฐานะที่เป็นประภาคารแห่งความหวังและเป็นดวงประทีปที่ส่งเสริมสนับสนุนและเป็นหลักประกันแห่งภราดรภาพ หม่อมฉันขอขอบใจปวงชนชาวไทยที่ให้โอกาสศาสนิกชนคาทอลิกผู้เข้ามาในประเทศไทยกว่า 4 ศตวรรษที่แล้ว ถึงแม้ว่าชาวคาทอลิกจะเป็นเพียงกลุ่มศาสนิกอันน้อยนิดแต่ก็ได้รับเสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างเต็มเปี่ยม และได้ดำรงชีวิตอย่างสันติสุขกับพี่น้องพุทธศาสนาทั้งชายหญิงมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
ในการเดินทางมาและก้าวเดินต่อไปด้วยความไว้วางใจกันและภราดรภาพต่อกันเช่นนี้ หม่อมฉันปรารถนาที่จะเน้นย้ำความตั้งใจจริงส่วนตัวหม่อมฉันและของพระศาสนจักรคาทอลิก โดยส่วนรวมในการที่จะเสริมสร้างให้เกิดเสวนาที่เปิดเผยและเคารพซึ่งกันและกันในการรับใช้เพื่อสันติภาพตลอดจนความผาสุกของศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า โดยอาศัยการเสวนาในระดับวิชาการ ซึ่งช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้น รวมทั้งการปฏิบัติสมาธิ การแสดงความเมตตาและการศึกษาใคร่ครวญอย่างละเอียด ซึ่งล้วนเป็นคุณธรรมที่เรายึดถือร่วมกันในสองศาสนา เราก็สามารถเจริญ เติบโตในการเป็นเพื่อนบ้านแบบมิตรแท้ที่ดีต่อกัน เราจะสนับสนุนให้ศาสนิกชนได้ค้นหาวิธีการแสดงความเมตตาในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อจะได้เป็นการส่งเสริมให้พวกเขาดำเนินชีวิตในความเป็นพี่น้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาผู้ที่ยากจนที่สุด และกับโลกอันเป็นบ้านส่วนรวมของเราที่กำลังถูกทำลาย ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถสร้างวัฒนธรรมแห่งความเมตตาภราดรภาพและการพบปะทั้งที่นี้และที่อื่นๆในโลก หม่อมฉันมั่นใจว่าวิธีการเช่นนี้จะเกิดผลอย่างบริบูรณ์ในอนาคต
หม่อมฉันขอขอบพระทัยฝ่าพระบาทอีกครั้งหนึ่งที่ประทานโอกาสให้เราทั้งสองได้พบกันหม่อมฉันขออธิษฐานวิงวอนต่ออานุภาพอันสูงสุด เพื่อถวายพระพรแด่ฝ่าพระบาท ขอฝ่าพระบาทมีพระพลานามัยแข็งแรง และเปี่ยมด้วยพระเกษมสุขอีกครั้งขอถวายพระพรให้ฝ่าพระบาทมีพระกำลังที่จะทรงนำพาพุทธศาสนิกชนให้ประสบสันติสุขสืบไป ขอขอบพระทัย” .-สำนักข่าวไทย