วอชิงตัน 19 พ.ย.- นายไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐแถลงจุดยืนของสหรัฐต่อนิคมชาวยิวในดินแดนปาเลสไตน์ว่า สหรัฐไม่คิดว่านิคมเหล่านี้ผิดกฎหมายอีกต่อไป กลับลำจุดยืนที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐประกาศในปี 2521
นายพอมเพโอกล่าวกับสื่อว่า หลังจากที่ได้ศึกษาการโต้แย้งทางกฎหมายรอบด้านอย่างรอบคอบแล้ว สหรัฐได้ข้อสรุปว่าการตั้งนิคมพลเรือนอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ไม่ถือว่าขัดต่อกฎหมายสากล การระบุว่านิคมเหล่านี้ขัดต่อกฎหมายสากลไม่ช่วยให้สันติภาพเดินหน้าได้ อย่างไรก็ดี สหรัฐไม่ได้พิจารณาว่านิคมชาวยิวถูกกฎหมายหรือไม่ เพราะควรเป็นดุลยพินิจของศาลอิสราเอล นายพอมเพโอกล่าวด้วยว่า การเปลี่ยนจุดยืนนี้ไม่ใช่การสนับสนุนนายกรัฐมนตรีเบนยามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลให้ได้เปรียบนายเบนนี แกนซ์ คู่แข่งการเมืองที่ต้องตั้งรัฐบาลให้ได้ภายในสองวัน หลังจากนายเนทันยาฮูไม่สามารถตั้งรัฐบาลผสมได้หลังการเลือกตั้งเดือนกันยายนที่ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมาก
นายเนทันยาฮูแถลงว่า การเปลี่ยนนโยบายของสหรัฐได้แก้ไขความไม่ถูกต้องทางประวัติศาสตร์ให้แก่ชาวยิว 600,000 คนที่อาศัยอยู่ในเขตเวสต์แบงก์และเยรูซาเล็มท่ามกลางชาวปาเลสไตน์ 2.9 ล้านคน เป็นนโยบายที่สะท้อนถึงความจริงทางประวัติศาสตร์ว่า ชาวยิวไม่ใช่พลเมืองต่างชาติในอาณานิคมจูเดียและซาแมเรีย(เป็นภาษาฮีบรูหมายถึงเขตเวสต์แบงก์) แต่เป็นประชาชนของดินแดนนี้ ด้านโฆษกทำเนียบประธานาธิบดีปาเลสไตน์แถลงประณามว่า สหรัฐไม่มีคุณสมบัติหรืออำนาจที่จะยกเลิกมติของกฎหมายสากล ไม่มีสิทธิให้ความชอบธรรมทางกฎหมายแก่นิคมชาวยิว
ก่อนหน้านี้ สหรัฐมีจุดยืนต่อนิคมชาวยิวตามความเห็นทางกฎหมายที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐประกาศในปี 2521 ว่า นิคมชาวยิวในดินแดนปาเลสไตน์ที่อิสราเอลยึดครองเมื่อทศวรรษก่อนหน้านั้นถือว่าขัดต่อกฎหมายสากล ขณะที่อนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 ของสหประชาชาติกำหนดไว้อย่างชัดเจนวาห้ามเคลื่อนย้ายพลเรือนเข้าไปในดินแดนยึดครอง กลุ่มพีซนาวเผยว่า ช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้อิสราเอลอนุมัติการสร้างนิคมชาวยิวแห่งใหม่ 8,337 หลัง เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงครึ่งหนึ่ง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐได้ดำเนินนโยบายเอนเอียงไปทางอิสราเอลหลายอย่าง เช่น รับรองนครเยรูซาเล็มว่าเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลแทนกรุงเทลอาวีฟ ลดเงินสนับสนุนหน่วยงานสหประชาชาติที่ให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ การกลับลำจุดยืนต่อนิคมชาวยิวครั้งนี้ยังขัดกับสหภาพยุโรปหรืออียูที่ศาลสูงสุดมีคำชี้ขาดเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า สินค้าที่มาจากนิคมชาวยิวต้องติดฉลากว่าเป็นของนิคมชาวยิว ไม่ใช่อิสราเอล.- สำนักข่าวไทย