นนทบุรี 26 ส.ค. – รัฐมนตรีพาณิชย์ดึงเอกชนร่วมมือส่งออกข้าว-มันสำปะหลังมากขึ้น มั่นใจข้าวและมันฯ เป็นที่ต้องการคู่ค้าอีกมาก
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังการประชุมร่วมวอร์รูมภาครัฐเอกชน กระทรวงพาณิชย์ หรือ กรอ.พาณิชย์ วันนี้ (26 ส.ค.) ว่า ได้หารือสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกผลิตผลทางการเกษตรข้าวและมันสำปะหลัง เพื่อจะเร่งรัดการส่งออกมากขึ้น โดยเห็นว่าข้าวกับมันสำปะหลังของไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะนอกจากมาตรการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่จะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 27 สิงหาคม 2562 โดยใช้วงเงิน 21,000 ล้านบาท โดยจะเร่งรัดการส่งออกควบคู่กันไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมายอดการส่งออกตัวเลขลดลง ซึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้ข้าวของไทยในตลาดโลกในสายตาประเทศผู้บริโภคแพงขึ้น เพราะไทยสูญเสียตลาดให้กับคู่แข่งบางส่วน แต่สรุปว่าตลาดที่จะดำเนินการเร่งรัดเป็นพิเศษระยะสั้น คือ 1.ตลาดอิรัก ซึ่งเป็นตลาดเดิมของไทยในอดีต แต่สูญเสียไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะมีบริษัทส่งข้าวไม่มีคุณภาพให้กับอิรัก ทำให้ความสัมพันธ์ในเรื่องการค้าข้าวระหว่างไทยกับอิรักเสียหายมาจนถึงวันนี้ กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอิรัก และจะร่วมมือกันทั้งส่วนของกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนในการฟื้นตลาดอิรักใหม่ โดยแนวทางที่จะดำเนินการ คือ จะเร่งรัดการเจรจาการค้าข้าวแบบ G to G กับอิรัก ซึ่งก่อนหน้านี้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศไปดำเนินการมีความคืบหน้าเป็นลำดับ อิรักแจ้งความประสงค์ที่จะทำการค้าข้าวแบบ G to G เป็นหลัก
นอกจากนี้ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กระทรวงพาณิชย์จะเร่งกำหนดแผนปฏิบัติ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจะเจรจาการค้าที่อิรักด้วยตนเอง ทั้งภาครัฐและเอกชน 2.ตลาดจีน เนื่องจากที่ผ่านมามีการทำ MOU ระหว่างไทยกับจีนที่จีนจะรับซื้อข้าวจากประเทศไทย 1 ล้านตัน แต่ยังมีค้างท่อ 300,000 ตัน ซึ่งจะดำเนินการเจรจากับจีนต่อไป โดยจะขอให้จีนรับซื้อข้าวหอมมะลิหรือข้าวหอมจากไทยแทนข้าวขาวมากขึ้นในโควตาค้างท่อ 3. ตลาดฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์ได้ปรับจากระบบโควตาเป็นระบบนำเข้าข้าวโดยภาคเอกชน เพราะฉะนั้นภาคเอกชนของฟิลิปปินส์ที่นำเข้าข้าวกับภาคเอกชนไทยที่ส่งออกข้าว ก็ยังไม่ได้มีโอกาสที่จะได้พบปะกันอย่างจริงจัง เพราะระบบนี้พึ่งเริ่มต้น กระทรวงพาณิชย์จะทำหน้าที่ช่วยเป็นตัวกลางจัดการพบปะระหว่างผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์ผู้ส่งออกข้าวจากประเทศไทยในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งโดยเร็ว และ 4. ตลาดญี่ปุ่น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ขอให้ญี่ปุ่นขยายโควตานำเข้าข้าวจากประเทศไทยมากขึ้น
ส่วนมันสำปะหลัง มี 2 เรื่องที่ได้หารือ คือ 1.สถานการณ์ของโรคใบด่างที่เป็นปัญหาใหญ่ขณะนี้และจะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตถ้ายังไม่สามารถสกัดโรคใบด่างได้ ขณะนี้ระบาดแล้วประมาณ 9 จังหวัด ซึ่งวอร์รูม จะรีบดำเนินการและสรุปการหาแนวทางกำหนดมาตรการป้องกันการระบาดออกสู่ภายนอกใน 9 จังหวัดนี้ และจะช่วยดำเนินการสนับสนุนเรื่องต้นพันธุ์ในจังหวัดอื่น ๆ ให้สามารถปลูกมันสำปะหลัง เพื่อนำไปสู่การส่งออกและนำรายได้เข้าประเทศต่อไป ภายในสัปดาห์นี้จะได้คำตอบจากการหารือร่วมกันของภาคเอกชนกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ส่วนการเปิดตลาดวันนี้ได้ข้อสรุปว่าตลาดที่ต้องเร่งรัดเป็นพิเศษ คือ ตลาดจีน ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศไทย โดยเฉพาะจีนตอนใต้ที่จะเอาไปทำอาหารสัตว์ ซึ่งรายละเอียดภายใน 2 สัปดาห์นี้ วอร์รูมจะมีคำตอบตามมาว่าจะดำเนินการรูปแบบใด ในส่วนของการขยายตลาดจีนตอนใต้ซึ่งมีอยู่หลายมณฑล และตลาดที่ 2 คือ อินเดีย ซึ่งถือว่ามีศักยภาพและเป็นตลาดที่ประเทศไทยสามารถดำเนินการขยายตลาดได้ในอนาคต แม้ว่าจะพึ่งเริ่มต้นก็ตาม โดยเฉพาะแป้งมันที่นำไปใช้ในการทำอาหารและทำซอสปรุงรสของคนอินเดีย ตลาดที่ 3 เป็นตลาดใหม่สำหรับไทยและมีโอกาสที่จะเปิดตลาดและขยายตลาดได้ โดยเฉพาะในเรื่องของอาหารสัตว์ที่ใช้มันสำปะหลังเป็นส่วนประกอบ เช่น ตลาดตุรกี ตลาดนิวซีแลนด์ แต่ 2 ตลาดนี้ยังเป็นตลาดที่ยังขาดความเข้าใจเรื่องของการใช้วัตถุดิบจากประเทศไทยที่จะนำไปทำอาหารสัตว์ เพราะฉะนั้นกระทรวงพาณิชย์จะช่วยทำหน้าที่เป็นตัวหลักนัดพบผู้นำเข้าจากตุรกีและนิวซีแลนด์ให้กับผู้ส่งออกอาหารสัตว์ของประเทศไทย .-สำนักข่าวไทย