สนง.อสส. 7 ส.ค.- “เรืองไกร” ยื่นอัยการสูงสุดขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย “การถวายสัตย์ฯ-แถลงนโยบาย” เป็นโมฆะ พร้อมเสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออกเพื่อแก้ไขปัญหา ก่อนถูกอภิปราย
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด ผ่านนายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 49 ในประเด็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบ รวมถึง การไม่ชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ว่าเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง ประกอบมาตรา 68 วรรคหนึ่งหรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวว่า การกล่าวถ้อยคำถวายสัตย์ฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อพระมหากษัตริย์ ปฏิบัติไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ คือกล่าวคำปฏิญาณตกไปในท่อนสุดท้าย แถมยังกล่าวคำว่า ”ตลอดไป” เติมเข้ามาอีก จากที่ได้ดูข้อกฎหมายและจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา เห็นว่าเรื่องนี้จะต้องมาร้องที่อัยการสูงสุด เนื่องจากเห็นว่าการกระทำดังกล่าวขัดมาตรา 5 และไม่เป็นไปตามมาตรา 3 วรรคสอง ก็เท่ากับว่าการกระทำดังกล่าวใช้บังคับไม่ได้ อย่างที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเป็นโมฆะ
นายเรืองไกร กล่าวว่า ประเด็นที่ 2 คือ เมื่อขณะเข้ารับหน้าที่แล้วจะต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 พร้อมต้องแสดงที่มาที่จะนำใช้จ่ายตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา แต่ก็เกิดปัญหาว่าคำแถลงนโยบาย 37 หน้า ไม่มีตัวเลขงบฯ ก็เท่ากับว่าการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภามา น่าจะเป็นโมฆะเช่นเดียวกัน
นายเรืองไกร กล่าวว่า การไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ อาจจะโดนดำเนินคดีอาญาได้ด้วย ซึ่งได้ไปยื่นคำร้องที่ ป.ป.ช.มาแล้ว จึงมายื่นคำร้องขอให้อัยการสูงสุดพิจารณาส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำดังกล่าวใช้บังคับไม่ได้ ตามมาตรา 89 ที่บัญญัติไว้ว่าผู้ใดทราบการกระทำที่จะเป็นการล้มล้างการปกครอง และต้องนำเอาประเพณีตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มาใช้ด้วย จากเหตุที่ได้มาโดยไม่เป็นไปตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย ในเรื่องมาตราดังกล่าว จะเห็นได้จากที่พรรคของตนได้ถูกยุบตามมาตรา 92 เพราะจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเป็นปฏิปักษ์ การได้อำนาจตรงนี้ เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงยังต้องไปยึดโยงรัฐธรรมนูญ 2550
“ในวันนี้ผมได้นำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีสนธิสัญญาไทยกัมพูชาที่ศาลแล้วธรรมนูญเคยวินิจฉัยการกระทำของ นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ว่ามีการกระทำที่ไม่ชอบ เพราะไม่ได้ขอความเห็นชอบจากรัฐสภา และเท่าที่ทราบ การปฏิบัติหน้าที่ของพลเอกประยุทธ์ในครั้งนี้ ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเกิดจากข้อผิดพลาดจริงๆ เราจึงต้องมาหาทางออกร่วมกัน ว่าถ้าหากมีการบริหารราชการแผ่นดินในการกระทำที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายแล้ว ถัดจากนี้การประชุมของ ครม. หรือการใช้จ่ายงบประมาณและพันธกรณีกับต่างประเทศมันจะสมบูรณ์หรือไม่” นายเรืองไกร กล่าว
นายเรืองไกร ยังกล่าวว่า เมื่อเกิดการกระทำที่ไม่ชอบแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ควรจะพิจารณาตัวเองด้วยการลาออก จากการเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วเริ่มกระบวนการขึ้นใหม่ ด้วยการให้รัฐสภาเลือกผู้ที่ควรเป็นนายกรัฐมนตรี และถ้าพล.อ.ประยุทธ์ยังได้มติจากที่ประชุมรัฐสภาเข้ามารับตำแหน่งและนำคณะรัฐมนตรีขอเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณให้ครบถ้วน และทำคำแถลงนโยบายใหม่ อันนี้ถือว่าเหมาะสมที่สุด ประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ก็จะยุติ แต่ในส่วนกรณีที่ตนได้ยื่นร้องอัยการสูงสุดวันนี้ก็จะยังทำคู่ขนานกันต่อไป
“ในเรื่องความเสียหาย เหตุการณ์มันชัดเจนแล้ว เหมือนที่นายกรัฐมนตรีไปพูดที่โรงเรียนนายร้อย แล้วก็มาพูดที่ ครม.มันชัดเจนมาก ว่าปัญหานี้นายกฯ ขอแก้ไขเอง นี่คือเหตุผลที่ผมขอเสนอให้ท่านลาออก เพราะถ้าหากรอให้เปิดอภิปรายมันก็จะยิ่งไปใหญ่” นายเรืองไกรกล่าว
ขณะที่ นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรค 2 ซึ่งเป็นช่องทางที่อัยการสูงสุดจะพิจารณาว่า จะสามารถยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ โดยหากภายใน 15 วัน อัยการสูงสุดยังไม่ได้ให้คำตอบ หรือดำเนินการใดๆ แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องสามารถไปยื่นตรงได้ต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
“ผมจะรับเรื่องนำเรียนอัยการสูงสุดต่อไป ซึ่งในประเด็นนี้ อัยการมีคณะทำงานเฉพาะ เนื่องจากมีผู้ร้องหลายคนที่ร้อง มีหลายคำร้องลักษณะคล้ายกัน รวมถึง ที่พรรคอนาคตใหม่ได้มายื่นก่อนหน้านี้ เรื่องนี้ก็ให้คณะทำงานไปดำเนินการ ก่อนเสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณาต่อไป เมื่ออัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว ก็จะแจ้งผลให้ผู้ร้องทราบ เพราะผู้ร้องอาจใช้สิทธิร้องเอง ซึ่งยืนยันว่าจะเร่งพิจารณาโดยเร็ว เนื่องจากมีเรื่องพิจารณาหลายเรื่อง” นายธรัมพ์ กล่าว . – สำนักข่าวไทย