fbpx

ประธาน กสม.ยืนยันไม่ได้รวบอำนาจ จนทำให้กรรมการออก

กสม. 31 ก.ค.- ประธาน กสม.ยืนยันไม่ได้รวบอำนาจ จนเป็นเหตุให้ “อังคณา-เตือนใจ” ลาออก  พร้อมย้ำ  3 กสม.ที่เหลือจะทำหน้าที่ต่อไป  เตรียมส่งหนังสือด่วนถึงประธาน “ศาลฎีกา-ศาลปกครอง” เพื่อเลือก กสม.ชั่วคราว 


นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)    แถลงข่าว หลังนางอังคณา นีละไพจิตร และนางเตือนใจ ดีเทศน์ ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็น กสม.  ว่า ได้รับหนังสือลาออกจากทั้ง 2 คน ช่วงเช้าวันนี้ (31 ก.ค.) และจะทำหนังสือด่วนที่สุด วันนี้ ถึงประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองเพื่อให้ทำการคัดเลือก กสม.ขึ้นมาทำหน้าที่ชั่วคราว ระหว่างรอการสรรหา กสม.ชุดใหม่  ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน  เดิม กสม.มีจำนวน 7 คน  ในจำนวนนี้ 1 คนทำหน้าที่ประธาน   ซึ่งก่อนรัฐธรรมนูญ 60 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 5 เม.ย.มี กสม. 1 คน ลาออก และเมื่อ 1 มิ.ย. 62 ก็มี กสม.อีก 1 ลาออกไปทำหน้าที่ในองค์กรอื่น  จนล่าสุดมี กสม. 2 คน ยื่นหนังสือขอลาออก  ทำให้ขณะนี้เหลือ กสม.ทำหน้าที่อยู่ 3 คน

“การทำหน้าที่ของ กสม.ที่ผ่านมาต้องทำหน้าที่ในฐานะองค์กรกลุ่ม  ที่ต้องมีการให้ความเห็น  และเมื่อความเห็นต่างก็ต้องลงมติเป็นเอกฉันท์ ซึ่งหลายครั้งผมมักเป็นเสียงข้างน้อย  โดยเฉพาะการประชุม 2 ครั้งหลังสุด  แต่ผมก็เคารพเสียงข้างมากในการตัดสินใจ  ดังนั้น ข้อความที่ระบุว่า ประธาน กสม.รวบอำนาจไว้คนเดียวไม่เป็นความจริง” นายวัส   กล่าว 


นายวัส   กล่าวว่า การทำหน้าที่ของ กสม.มี 2 ส่วนสำคัญ คือ  1. เรื่องการคุ้มครองสิทธิ ที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องร้องเรียน  แม้ไม่มีผู้ร้องเรียนก็สามารถหยิบยกขึ้นมาตรวจสอบเองได้  รวมทั้ง กรณีที่ กสม.ได้รับมอบหมายจากที่ประชุม  การที่ปรากฏว่าห้าม กสม.รับคำร้องจากชาวบ้านในข้อเท็จจริงไม่เคยมีการห้าม  แต่เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการที่จะรับเรื่องร้องเรียน   

นายวัส   กล่าวว่า  2. ด้านการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน  ก็มีการจัดเวทีให้ความรู้ส่งเสริมประชาชนเข้าใจในเรื่องสิทธิ   และส่งเสริมหน่วยงานภาครัฐที่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง  ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าตั้งแต่มี กสม.ชุดนี้ เมื่อเดือน พ.ย. 58  ทำงานมา 3 ปีเศษ  เมื่อเข้าทำงานมีเรื่องร้องเรียนที่ค้างอยู่ 90%  แต่พอชุดนี้เข้ามาก็เร่งดำเนินการ  หลังปรับระบบการทำงานทำให้เรื่องร้องเรียนเสร็จไปถึง 81%  เหลือค้างไม่ถึง 20 % โดยเรื่องที่เหลืออยู่ในกระบวนการกลั่นกรอง

“ตอนที่มี กสม.เหลืออยู่ 5 คน  เราทำงานกันด้วยดีมาตลอด ความเห็นไม่ตรงกันก็ใช้วิธีการลงมติเพื่อหาข้อยุติ  รายงานการตรวจสอบที่ออกไปก็เป็นไปอย่างมีคุณภาพ  มีชื่อเสียงไปทั่วโลกที่ประเทศต่างๆ ชูประเทศไทยเป็นตัวอย่าง โดยเฉพาะการที่จะมาดูงานด้านสิทธิมนุษยชน  เช่น เนปาล  ยอมรับว่าเสียดายกับสิ่งที่เกิดขึ้น  การทำงานมีความเห็นแตกต่างกันได้  แต่ผลงานจะเป็นที่ยืนยัน  ซึ่งรายงานที่ กสม.ออกไปมีข้อโต้แย้งน้อยมาก” นายวัส กล่าว


อย่างไรก็ตาม นายวัส กล่าวว่า  การลาออกในขณะนี้ ทำให้เหลือ กสม.เพียง 3 คน ทำให้องค์ประชุมเหลือไม่ถึงกึ่งหนึ่ง  ในแง่ขององค์กรกลุ่มทำให้ไม่สามารถประชุมเพื่อออกรายงานของ กสม.ได้  แต่ทั้ง 3 คนก็จะยังคงทำหน้าที่ต่อไป      

ส่วนที่มีการอ้างว่า กสม.มีวางแนวปฏิบัติในเรื่องการให้ข่าวเคร่งครัดนั้น นายวัส  ยืนยันว่า ไม่ได้มีการห้าม เพราะไม่มีอำนาจจะไปห้ามเป็นการส่วนตัว แต่การให้ข่าวขององค์กร กลุ่มต้องมีมาตรฐานและมีระเบียบ ซึ่งที่ผ่านมา กสม.ออกแนวปฏิบัติในการให้ข่าว  โดยกำหนดว่าถ้าเป็นเรื่องสำคัญก็ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ หรือคนที่ได้รับมอบหมาย   ส่วนที่เป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ของ กสม.แต่ละคนก็สามารถให้ข่าวได้  แต่การให้ข่าวเรื่องที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และข้อเท็จจริงยังไมได้สรุป ก็เป็นเรื่องที่สมควรต้องหลีกเลี่ยง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวของประธาน กสม.นี้  นางประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ กสม. ที่ไม่ได้ลาออก  ได้มาร่วมฟังการแถลงข่าว ขณะที่ นางฉัตรสุดา จันทร์ดียิ่ง กสม. ติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ   โดยนางประกายรัตน์  กล่าวว่า ส่วนตัวได้พบกับ  1 ใน กสม.ทื่ยื่นลาออกไป  และได้พยายามยับยั้งขอให้ทำหน้าที่ต่อไป   ส่วนตัวจะไม่ลาออก  จะอดทนทำหน้าที่  เพราะถือว่าอาสาเข้ามาทำหน้าที่นี้แล้ว ก็ต้องเดินหน้าสานต่อ และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนต่อไป  เชื่อว่าหลายคนที่ทราบข่าวการลาออกคงรู้สึกตกใจไม่น้อย  แต่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของทั้งสองคน   

“เราควรต้องอยู่เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามหน้าที่อำนาจ  ดิฉันกับท่านประธานจะอยู่ทำงาน  ถึงเราจะอยู่กับ 3 คน ก็ยังสามารถดูแลสิทธิมนุษยชนของประชาชน  แม้จะมีข้อจำกัดในบางเรื่อง ก็หวังว่าทางออกที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ในบทเฉพาะกาล จะทำให้เราได้ กสม.ชั่วคราวเข้ามาช่วยทำงาน  เพื่อช่วยออกรายงานการประชุมในการเสนอต่อ ครม.ได้”   นางประกายรัตน์  กล่าว และระบุว่าไม่สามารถแสดงความเห็นหรือทราบว่า นางฉัตรสุดาจะมีความเห็นอย่างไร  ต่อการที่ กสม. 2 คนลาออก .- สำนักข่าวไทย  

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พบศพโบลท์หญิงวัย 47 ในป่าหญ้าริมทาง คาดถูกฆ่าชิงรถ

โบลท์หญิงวัย 47 ปี หายตัวจากบ้านพักย่านดินแดง 9 วัน ล่าสุดพบเป็นศพในป่าหญ้าริมถนนสายนครชัยศรี-ห้วยพลู อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ส่วนรถยนต์โผล่ที่ จ.ภูเก็ต คาดถูกคนร้ายฆ่าชิงรถ

pagers on display

ทำไมยังมีการใช้ “เพจเจอร์” ในยุคสมาร์ทโฟน

ลอนดอน 19 ก.ย.- เพจเจอร์ หรือวิทยุติดตามตัวเป็นอุปกรณ์การสื่อสารยอดนิยมในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 ที่ต้องหลีกทางให้แก่โทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากเป็นการสื่อสารทางเดียว แต่ยังคงมีการใช้งานในบางกลุ่ม รวมถึงกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่เพจเจอร์ระเบิดพร้อมกันหลายพันเครื่องทั่วเลบานอนเมื่อวันที่ 17 กันยายน แหล่งข่าวเผยว่า ฮิซบอลเลาะห์ใช้เพจเจอร์ เนื่องจากเป็นช่องทางสื่อสารเทคโนโลยีต่ำ ส่งข้อความผ่านสัญญาณวิทยุ จึงตรวจจับสัญญาณและตำแหน่งได้ยากกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ส่งสัญญาณไปยังเสาส่งที่อยู่ใกล้ที่สุด อีกทั้งไม่มีเทคโนโลยีระบุพิกัดบนพื้นโลกอย่างจีพีเอสด้วย อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ (FBI) ของสหรัฐเผยว่า ในอดีตแก๊งอาชญากรรมโดยเฉพาะแก๊งค้ายาเสพติดในสหรัฐเคยนิยมใช้เพจเจอร์ แต่ขณะนี้หันมาใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงินราคาถูกที่สามารถเปลี่ยนเครื่องและหมายเลขได้อย่างง่ายดาย ทำให้เจ้าหน้าที่ติดตามแกะรอยได้ยาก อย่างไรก็ดี  ศัลยแพทย์โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักรเผยว่า เพจเจอร์เป็นอุปกรณ์ที่แพทย์และพยาบาลสังกัดสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติหรือเอ็นเอชเอส (NHS) ต้องพกติดตัวอยู่เสมอ เพื่อรับแจ้งข่าวในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นช่องทางที่ถูกที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแจ้งข่าวทางเดียวกับคนจำนวนมาก เพจเจอร์หลายรุ่นสามารถส่งเสียงไซเรนและมีข้อความเสียงแจ้งให้ทีมแพทย์ไปรวมตัวที่ห้องฉุกเฉินได้ทันที ข้อมูลล่าสุดในปี 2562 ระบุว่า เอ็นเอชเอสใช้เพจเจอร์ประมาณ 130,000 เครื่อง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 10 ของที่ใช้ทั่วโลก คอกนิทีฟมาร์เก็ตรีเสิร์ช  (Cognitive Market Research) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยคาดการณ์ว่า ตลาดเพจเจอร์จะเติบโตร้อยละ 5.9 ต่อปี จากปี 2566 ถึงปี 2573 […]

ข่าวแนะนำ

นายกฯ ขอบคุณทุกหน่วยงานระดมช่วยผู้ประสบภัย

“นายกฯ แพทองธาร” ขอบคุณทุกหน่วยงานระดมช่วยผู้ประสบอุทกภัย หวัง ศปช.รับมือ-ช่วยเหลือรวดเร็วทันท่วงที รวมถึงการเยียวยาหลังจากนี้

ฟื้นฟูชายแดนแม่สาย-เร่งกู้ตลาดสายลมจอย

เจ้าหน้าที่เร่งฟื้นฟูชุมชนชายแดนแม่สายที่ถูกน้ำท่วมและจมโคลนมานาน 10 วัน รวมทั้งเร่งกู้ตลาดสายลมจอยแหล่งจำหน่ายสินค้าชายแดนที่เสียหายอย่างหนัก

ฆ่ารัดคอขับโบลท์

รวบ “ไอ้แม็ก” ฆ่ารัดคอหญิงขับโบลท์ พบเคยถูกจับคดีโหด

จับแล้ว “ไอ้แม็ก” เดนคุก ฆ่ารัดคอหญิงขับโบลท์ ทิ้งร่างอำพราง ริมถนนห้วยพลู จ.นครปฐม ก่อนเอารถไปขาย สอบประวัติ พบเพิ่งพ้นโทษ คดีล่ามโซ่ล่วงละเมิดเด็กวัย 13 ปี นาน 1 สัปดาห์ เมื่อปี 2553