กรุงเทพฯ 21 มิ.ย.-ข่าวร้าย! น้ำมันไทยปรับราคาขึ้นพรุ่งนี้ หวั่นความตึงเครียดตะวันออกกลาง ด้านปตท.ปรับเม็ดเงินลงทุนเพิ่มปีนี้กว่าแสนล้านบาท
สถานการณ์ความความตรึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ก็นับว่าเป็นการกดดันต่อเศรษฐกิจโลกต่อเนื่องจากสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน สิ่งที่ตอบสนองรวดเร็วที่สุด คือตลาดโภคภันฑ์น้ำมันและทองคำ และมีผลมายังประเทศไทย ราคาน้ำมันขายปลีกของไทยปรับขึ้นพรุ่งนี้ 40 สตางค์/ลิตร หลังราคาตลาดโลกขยับสูงขึ้น วานนี้กว่า 2 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และวันนี้กระทรวงพลังงานได้ประชุมรองรับสถานการณ์ ซักซ้อมตามแผนที่เตรียมไว้ โดยขณะนี้มีปริมาณสำรองน้ำมันคงเหลือพอใช้ภายในประเทศได้ 49 วัน
อีกด้านหนึ่งนักลงทุนต่างไปหาสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยที่สุด ก็คือทองคำประกอบกับธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดส่งสัญญาณชัดเจนที่จะปรับลดดอกเบี้ย ก็ส่งผลให้ราคาทองคำตลาดโลกสูงสุดในรอบเกือบ 6 ปี ขึ้นไปแตะที่ 1,393 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ส่วนราคาในไทยวันนี้ราคาเปลี่ยนแปลงถึง 7 รอบ โดยทองคำแท่งสูงสุดของวันนี้อยู่ที่ 20,450 บาท นับป็นราคาสูงสุดในรอบปี วันนี้ที่ร้านทองก็คึกคักมีคนไปขายทำกำไรจำนวนมาก และล่าสุดราคาปิดตลาดทองคำแท่งที่บาทละ20,250 บาท เพิ่มขึ้น 50 บาทจากวานนี้ การที่ทองคำไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากนักก็มาจากบาทไทยแข็งค่าในรอบ 6 ปี โดยอยู่ที่ระดับ 30.84 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ตลาดมองว่าราคาทองคำตลาดโลกปีนี้มีโอกาสจะขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ และราคาทองคำในประเทศมีโอกาสถึง 21,000 บาท
ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยวันนี้ ปิดลบในช่วงท้าย และปิดตลาดลดลง 0.68 จุด หลังจากหุ้นไทยปิดเขียวต่อเนื่องมา 3 วันเลยทีเดียว บาทที่แข็งค่าขึ้นแม้เป็นผลดีต่อสินค้านำเข้า แต่ในแง่การส่งออกสินค้าจะแพงขึ้น ก็อาจจะกระทบต่อการส่งออกอีก นอกเหนือปัจจัยสงครามการค้า ที่ทำให้ตัวเลขการส่งออกเดือนพฤษภาคมเปิดเผย โดยกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ติดลบร้อยละ 5.79 และ 5 เดือนแรกปีนี้ของปีนี้ ส่งออกไทยติดลบรวมร้อยละ 2.7 ขณะที่การส่งออกในช่วงที่เหลือหลังจากนี้ในแต่ละเดือนจะต้องทำให้ได้เกินเดือนละ 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงจะทำให้การส่งออกของประเทศเป็นบวกได้
โดยกระทรวงพาณิชย์วางแผนเจาะตลาดทุกภาคอย่างใกล้ชิด และยังคาดหวังว่าปีนี้การส่งออกจะขยายตัวไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 หรือคิดเป็นมูลค่า 260,184 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นโจทย์ใหญ่ของ ครม.ใหม่ที่ต้องมารับมือ อีกแง่หนึ่งก็คือ การกระตุ้นการลงทุนในประเทศ ของภาครัฐและภาคเอกชน โดยพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี เป็นพื้นที่หลักที่จะมีการลงทุน ล่าสุดนายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการอีอีซี คาดปีนี้ยอดลงทุนจะเพิ่มเป็น 4 แสนล้านบาทจากเดิมที่ประมาณการที่ 3 แสนล้านบาท โดยวันจันทร์ที่ 24 มิ.ย.นี้ คณะกรรมการอีอีซี จะประชุมและพิจารณาโครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 ส่วนอีก 2 โครงการคือ โครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 และเมืองการบิน คาดว่าจะใช้เวลา อีก 1 เดือน จึงจะนำเสนอต่อบอร์ด อีอีซีได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับความมั่นใจภาคเอกชนเพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ด้านนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ หรือ ซีอีโอ บมจ.ปตท. เปิดเผยว่า บอร์ด ปตท.วานนี้ ได้ทบทวนแผนการลงทุน ของปตท. และบริษัทย่อยที่ปตท. ถือหุ้น 100% และอนุมัติให้ปรับเพิ่มแผนการลงทุนสําหรับปี 2562 จากจํานวน 70,501 ล้านบาทเป็น 103,697 ล้านบาท มุ่งเน้นการลงทุนบริษัทในเครือ โดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่อีอีซี เช่ย การขยายธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานทดแทน โครงการโรงไฟฟ้าในโครงการขยายกำลังกลั่นของไทยออยล์ ลงทุนโดย จีพีเอสซี, โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 จะเร่งจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ GULFจะเริ่มลงทุนในไตรมาส 4 ของปีนี้, พร้อมเร่งแสวงหาโอกาสในการเรียนรู้เทคโนโลยีและตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ รวมถึงการลงทุนต้นแบบด้านเครื่องจักรกล และปัญญาประดิษฐ์ (Robotics/AI) หรือการลงทุนในรูปแบบ Venture Capital เพื่อการเติบโตในระยะยาว นอกจากนี้ปตท. อยู่ระหว่างการพิจารณาทิศทางกลยุทธ์ขององค์กร และเตรียมปรับ Portfolio ของการลงทุนในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยเน้นการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพลังงานสะอาด ตลอดจนการดำเนินธุรกิจที่ช่วยสนับสนุนให้สังคมและชุมชนอยู่ได้อย่างยั่งยืนโดยปตท. เตรียมนำแผนการลงทุนระยะยาวดังกล่าว เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. ในเดือนธันวาคม 2562 ต่อไป
และสำหรับการดำเนินการของ กลุ่ม ปตท.ที่มีการปรับให้ยืดหยุ่นตามสถานการณ์ที่เหมาะสม มีการบริหารความเสี่ยงที่เข้มข้น ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจที่ สร้างรายได้นำส่งรัฐบาลสูงสุดในช่วง 8 เดือนของปีงบประมาณ 2562 หรือตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วถึงเดือนพฤษภาคมปีนี้ โดยนำส่งรวม 29,198 ล้านบาท จากเงินรัฐวิสาหกิจที่นำส่งภาครัฐรวม 138,755 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการเงินนำส่งรายได้แผ่นดินสะสม 10,715 ล้านบาท หรือร้อยละ 8 .-สำนักข่าวไทย