วอชิงตัน 28 พ.ค.- ศูนย์ควบคุมและป้องโรคสหรัฐ หรือซีดีซี (CDC) เผยว่า มีรายงานผู้ป่วยโรคหัดที่ได้รับการยืนยันแล้ว 940 รายใน 26 รัฐทั่วประเทศ ทำให้โรคหัดระบาดในปีนี้รุนแรงที่สุดนับจากปี 2537 ที่พบผู้ป่วยมากถึง 958 คน
สหรัฐมีผู้ป่วยใหม่ทั้งที่ประกาศว่าปลอดจากโรคหัดในปี 2543 รัฐล่าสุดที่พบคือรัฐนิวเม็กซิโกเป็นเด็กวัย 1 ขวบ ถือเป็นผู้ป่วยรายแรกในรอบเกือบ 5 ปี โรคนี้ระบาดหนักในกลุ่มคนที่ไม่ฉีดวัคซีน หรืออยู่ในรัฐที่ไม่บังคับฉีดวัคซีน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขโทษว่า เป็นเพราะการแพร่กระจายข้อมูลผิด ๆ เกี่ยวกับการฉีดวัคซีน และกลุ่มผู้ปกครองที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนที่มีความเชื่อผิด ๆ ว่าจะทำให้เด็กเป็นออทิสซึม
รายงานระบุว่า ใน 26 รัฐที่พบโรคหัดระบาด มี 7 รัฐที่ไม่บังคับฉีดวัคซีน รัฐเมน หนึ่งในรัฐที่พบการระบาด ผู้ว่าการรัฐได้ลงนามร่างกฎหมายเมื่อวันศุกร์ห้ามการไม่ฉีดวัคซีนเพราะความเชื่อ ขณะที่รัฐนิวยอร์กพบผู้ป่วยมากถึง 785 คนนับตั้งแต่เดือนกันยายนปีก่อน ทั้งที่ถือว่าปลอดโรคหัดไปตั้งแต่ 20 ปีก่อน ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดเป็นคนในชุมชนยิวออร์โธด็อกซ์
โรคหัดระบาดในสหรัฐขณะนี้ไม่ได้กำเนิดขึ้นในสหรัฐ แต่มากับผู้เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาด เช่น อิสราเอล ยูเครน โรคหัดเกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อผ่านการไอ จาม พูดคุยใกล้ชิด อาการจะปรากฏหลังติดเชื้อแล้ว 10-14 วัน เช่น มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล มีผื่นแดงขึ้นตัว ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนรวมหัด คางทูม และหัดเยอรมันเข็มแรกให้แก่เด็กวัย 12-15 เดือน และฉีดซ้ำเมื่ออายุ 4-6 ปี ซีดีซีเผยว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ร้อยละ 97 แต่ผู้ไม่ฉีดวัคซีนมีโอกาสถึงร้อยละ 90 ที่ติดเชื้อจากการหายใจ องค์การอนามัยโลกเผยว่า ช่วงสามเดือนแรกของปีนี้ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคหัดเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน.-สำนักข่าวไทย