ซิดนีย์ 19 พ.ค.- นักวิเคราะห์มองว่า สาเหตุที่รัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสันของออสเตรเลียชนะเลือกตั้งทั่วไปวานนี้ เป็นเพราะการหาเสียงเชิงลบที่ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่อต้านนโยบายของพรรคแรงงานที่จะปฏิรูปขนานใหญ่ ทั้งที่ผลการหยั่งเสียงส่วนใหญ่ชี้ว่าพรรคแรงงานจะชนะเลือกตั้ง
นักวิชาการมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียระบุว่า ความล้มเหลวของพรรคแรงงานสะท้อนถึงแนวโน้มทั่วโลกตะวันตกที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่เชื่อในแนวนโยบายแบบหาญกล้า เป็นยุคที่ยากจะสื่อสารเรื่องความคิดโดนใจและขายฝัน ขณะที่พรรคแนวประชาชนนิยมฝ่ายขวาทั่วโลกประสบความสำเร็จในการทำให้ผู้คนโหยหาอดีตและกังวลอนาคต การหาเสียงเสนอความเปลี่ยนแปลงและปลุกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจินตนาการและความฝันจึงยากจะต่อกรกับการหาเสียงเน้นความกลัวที่สร้างขึ้นมา นายกรัฐมนตรีมอร์ริสันประสบความสำเร็จในการทำให้คนกลัวนโยบายพรรคแรงงานของนายบิล ชอร์เทนที่เสนอยกเลิกการลดหย่อนภาษีและแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะกระทบต่อรายได้ประชาชนในยามที่เศรษฐกิจประเทศเริ่มชะลอตัว
ด้านผู้เชี่ยวชาญการเมือง มหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์กล่าวถึงผลการเลือกตั้งในรัฐควีนสแลนด์ว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามเมืองที่ทำเหมืองไม่พอใจอยู่แล้วที่โครงการเหมืองถ่านหินที่ได้รับการสนับสนุนจากอินเดียถูกชะลอไปหลายครั้งทั้งที่จะสร้างงานจำนวนมากให้คนในชุมชน ดังนั้นเมื่อพรรคแรงงานเสนอนโยบายแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงไม่ได้รับการตอบรับ พวกเขาคิดว่ารัฐบาลผสมชุดปัจจุบันน่าจะทำให้มีโอกาสทางเศรษฐกิจและการจ้างงานมากกว่า พรรคแรงงานโทษนายคลีฟ พาล์มเมอร์ นักธุรกิจเหมืองว่าทุ่มเงินหาเสียงเลือกตั้ง 60 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 1,311 ล้านบาท) ทำให้พรรคแรงงานแพ้ในรัฐควีนส์แลนด์ เพราะผู้สนับสนุนเขาส่งผลให้รัฐบาลได้เสียงเพิ่มขึ้นตามระบบการเลือกตั้งที่ซับซ้อนของออสเตรเลีย อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากพรรคการเมืองเลือกอยู่ในเซฟโซน ไม่กล้าเสนอแนวคิดใหม่ ๆ เพราะกลัวกระทบคะแนนเสียง จะเป็นเรื่องอันตรายสำหรับการเมืองในอนาคต.-สำนักข่าวไทย