กทม. 16 ต.ค.-“อนุทิน” รมว.มหาดไทย เร่งทำนโยบายที่ให้ไว้กับประชาชน ก่อนเลือกตั้งครั้งใหม่ ยันไม่ติดใจ “ครูมานิตย์” หวังให้ช่วยคุย สว. เปลี่ยนการทำประชามติ จาก 2 ชั้น เป็นชั้นเดียว ย้ำจุดยืนพรรคภูมิใจไทย ต้องดับเบิลล็อก ชี้ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ให้เวทีรัฐสภาเป็นตัวกำหนด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวหลังการประชุมมอบนโยบายของผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า จากที่กล่าวในนที่ว่าอายุการทำงานเหลือ 2 ปี 7 เดือน มีสัญญาอะไรบ้าง ที่ระบุว่าจะยุบสภาฯ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ใช่เช่นนั้น คนหมายถึง อีก 2 ปี 7 เดือน ก็ปี 2570 แล้ว
เพราะตั้งแต่สภาผู้แทนราษฎร ชุดปัจจุบันเข้ามา มีสถานการณ์ที่ทำให้ทุกฝ่ายทำงานอย่างเต็มที่ ทำให้ดูเหมือนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีการเปลี่ยนรัฐบาล ทำให้คิดว่าเหมือนมีเวลาเหลืออยู่ 4 ปี แต่ที่จริงนั้นไม่ใช่ ซึ่งเหลือเพียง 2 ปี 7 เดือน จึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการนโยบายต่างๆให้เร็วที่สุด เนื่องจากในระยะเวลาที่ตนกล่าว ก็จะมีการเลือกตั้งกันใหม่อีกครั้ง จึงต้องเร่งทำขอสัญญาที่ได้ให้ไว้กับประชาชนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อถามว่า สัญญาณพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.จังหวัดสุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ออกมาพูดเรื่องการทำประชามติ ว่า จะให้หัวหน้าพรรคที่มีความเกี่ยวข้องกับสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้ช่วยคุยให้ โดยเปลี่ยนจาก การทำประชามติ 2 ชั้น มาเป็นชั้นเดียว โดยได้พูดถึงพรรคภูมิใจไทยด้วย นายอนุทิน กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทย เราได้ลงมติ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และพรรคภูมิใจไทย เชื่อว่า เรื่องประชามติเป็นเรื่องประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน เนื่องจากการมีดับเบิ้ลล็อค จะมีความรอบคอบมากกว่า ซึ่งเราได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนไปแล้ว
เมื่อถามต่อว่า ทางฝ่ายรัฐบาลจะมองว่าเป็นเด็กดื้อหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า มันไม่ใช่เด็กดื้อ การรักษาประโยชน์ของประชาชนจะเป็นความดื้อได้อย่างไร ซึ่งมันเป็นหน้าที่ เพราะการออกมาใช้ประชามติ หากประชาชนออกมาไม่เยอะ และใช้เสียงกึ่งหนึ่งกำหนดทิศทางของประเทศ ดังนั้น เราต้องมีความรอบคอบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่า เรื่องประชามติควรเป็นเช่นนี้ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเรามีหลักการเป็นของตัวเอง ยืนยันว่าได้แสดงท่าทีไปอย่างชัดเจนแล้วทั้งนี้ ตนเชื่อว่า หัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรคที่มีความสัมพันธ์กับ สว. รู้จักกันทั้งหมดไม่ควรกล่าวอะไรที่เป็นลักษณะที่นำ หรือทำให้เกิดความสับสนต่อประชาชน สส.ก็ทำหน้าที่ สส. ส่วนรัฐบาลก็ทำหน้าที่ของรัฐบาล และ สว.ก็ทำหน้าที่ของ สว. การก้าวก่ายกันเป็นข้อห้ามตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และตนไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็นของ สส. คนหนึ่ง และเราควรฟังส่วนความเห็นของเราบุคคลอื่นก็ต้องฟังด้วย เพราะเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และใช้เวทีของรัฐสภาเป็นตัวกำหนด.-317.-สำนักข่าวไทย