กรุงเทพฯ 14 พ.ค. – ซีไอเอ็มบีไทยคาดจีดีพีไตรมาสแรกโตร้อยละ 3.1 ห่วงการส่งออกโตต่ำ ผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐ -จีน
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโสสำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า วันอังคารที่ 21 พฤษภาคมนี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะรายงานตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกปีนี้ คาดว่าน่าจะขยายตัวร้อยละ 3.1 เทียบช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน หรือร้อยละ 1.3 เทียบไตรมาสก่อนหน้าหลังปรับฤดูกาล ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อการเติบโตยังเป็นด้านการบริโภคภาคเอกชน ส่วนการลงทุนภาครัฐยังล่าช้า มีตัวประคอง คือ การใช้จ่ายของรัฐบาลที่น่าจะเร่งขึ้นตามงบโอนด้านสวัสดิการ ส่วนส่งออกติดลบในช่วงไตรมาสแรก ขณะที่การท่องเที่ยวก็แผ่วลงมาก
ส่วนทิศทางเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 และตลอดทั้งปี 2562 ประเด็นความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลอาจกดดันภาคการลงทุนในช่วงไตรมาส 2 นักลงทุนอาจชะลอการลงทุนไปจนมีรัฐบาลใหม่ และถึงแม้จะได้รัฐบาลเสียงข้างมากในที่สุด ซึ่งถือว่าสบายใจได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเสียงปริ่มน้ำอาจทำให้การออกกฎหมายสำคัญ ๆ ผ่านสภาฯ ยาก นักลงทุนคงให้น้ำหนักกับกฎหมายงบประมาณ เชื่อว่าผ่านงบปี 2563 ได้ ไม่น่ากระทบเศรษฐกิจไทยปีนี้ แต่รองบปีถัดไปค่อยดูกัน อีกเรื่อง คือ ความต่อเนื่องของนโยบายคาดว่าเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และรถไฟต่าง ๆ จะเดินหน้าสานและเมื่อรัฐบาลใหม่สร้างความชัดเจนและความเชื่อมั่นได้ การลงทุนน่าจะเร่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คือ ต่างประเทศจากสงครามการค้า ทำให้การส่งออกอาจติดลบยาวกระทบการลงทุนและการบริโภคเป็นลูกโซ่ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนคงยากที่จะยุติ ตราบใดที่สหรัฐยังกลัวว่าจีนจะเป็นใหญ่ด้านเทคโนโลยีของโลก และภายในไม่เกิน 10 ปีนี้ขนาดเศรษฐกิจจีนจะใหญ่กว่าขนาดเศรษฐกิจสหรัฐ หากสหรัฐไม่ขัดขาจีนเสียตั้งแต่วันนี้ ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอ เพื่อถ่วงให้สหรัฐพัฒนาด้านเทคโนโลยีได้เร็วกว่า สหรัฐอาจตกที่นั่งลำบาก เพราะสหรัฐคงยอมไม่ได้ที่จะเป็นเบอร์ 2 รองจากจีน ดังนั้นการขึ้นภาษีคงเกิดในไม่ช้า และจะส่งผลให้การส่งออกของจีนมีปัญหาเศรษฐกิจจีนชะลอ การส่งออกอาเซียนรวมทั้งไทยไปจีนคงลำบาก มองการส่งออกไทยน่าจะโตได้ร้อยละ 3-4 แต่ตอนนี้การส่งออกติดลบในช่วงไตรมาสแรกและอาจติดลบลากยาวในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งอาจทำให้การส่งออกไทยยากที่จะโตได้ตามที่คาดไว้ก่อนหน้า
ส่วนความเสี่ยงในประเทศ คือ กำลังซื้อระดับล่างต่ำ หนี้สูง แต่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แม้ทำเศรษฐกิจซึม ๆ ภาคต่างจังหวัดยังแย่ แต่ก็ใช้เงินอุดหนุนสวัสดิการประคองกันไป รอการลงทุนเกิดอย่างทั่วถึงก่อน โดยเชื่อว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้งจะสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้มากขึ้น โดยเฉพาะสามารถเจรจาเอฟทีเอกับ สหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งน่าจะเป็นความหวังได้บ้างในช่วงครึ่งปีหลัง
อัตราดอกเบี้ยน่าจะคงไว้ที่ร้อยละ 1.75 ตลอดปี และด้วยสภาพคล่องที่มีมาก ธนาคารพาณิชย์ไม่น่าเร่งขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ ด้านค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่าช่วงนี้มาจากความกังวลสงครามการค้า บาทแข็งเพราะไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง มองต่อไปหากรัฐบาลมีเสถียรภาพบาทอาจแข็งต่อได้จากเงินไหลเข้ามาลงทุน แต่อาจไม่ใช่แข็งค่าขาเดียว บาทมีโอกาสกลับไปอ่อนได้ที่ระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หากมีความชัดเจนในตลาดโลก.-สำนักข่าวไทย