ทำเนียบรัฐบาล 26 ส.ค.-นายกรัฐมนตรีกำชับเอกชนเสียภาษีให้ครบถ้วน หากหลีกเลี่ยงจะเจอภาษีย้อนหลัง 5 ปี ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุรัฐบาลยังเดินหน้านโยบาย E-Payment แม้เพิ่งมีการแฮกเกอร์ข้อมูลธนาคารออมสิน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ครั้งที่ 3 ประจำปีงบประมาณ 2559 จำนวน 88 รางวัล จากส่วนราชการทั้งหมด 224 หน่วยงาน ผ่านการประเมินใน 5 มิติ ได้แก่ ด้านการจัดซื้อจัดจ้าง ด้านการเบิกจ่าย ด้านการบัญชี ด้านการตรวจสอบภายใน ด้านความรับผิดทางละเมิด นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ารางวัลเหล่านี้ นับเป็นเกียติแก่หน่วยงานราชการ แต่ต้องการ ตั้งรางวัลพิเศษสำหรับผู้ได้รับรางวัลเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นแบบอย่างแก่องค์กรอื่น ด้วยการขอให้จัดกลุ่มรางวัลใหม่ เพื่อให้องค์กรต่างๆพัฒนาเหมือนกับองค์กรที่ได้รับรางวัลทุกปี
นายกรัฐมนตรี ต้องการให้จัดกลุ่มงานให้ชัดเจนรองรับการปฏิรูปประเทศ ผ่านการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้องค์กรถอยหลัง เพื่อจัดสรรงบประมาณลงไปเพียงบางพื้นที่ไม่ได้รับการจัดสรรให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลกำหนดไว้ เพื่อการสร้างความเข้มแข็งการเงินการคลัง และย้ำว่ารางวัลด้านความรับผิดทางละเมิด ต้องการให้ทุกหน่วยงานดูแลคดีที่เกิดขึ้นในองค์กรให้ดี เพราะรัฐบาลไม่ได้รังแกฝ่ายใด และย้ำชัดเจนว่า ในปี 2559 หากจ่ายภาษีไม่ครบ หรือเจตนาหลีกเลี่ยงต้องถูกตรวจสอบย้อนหลัง 5 ปี เพราะสงสารประเทศ เนื่องจากรายได้ภาษีไม่ได้เพิ่มขึ้นขณะนี้ ยอมรับว่ารายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้น มาจากการปรับเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี รัฐบาลไม่ได้เร่งรัดรีดเก็บภาษีจากคนยากจนหรือรายได้น้อย จึงขอให้เดินหน้าจัดเก็บภาษีจากฐานภาษีเดิมไม่ให้เกิดการรั่วไหล
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กรณีนายกรัฐมนตรีมีนโยบายให้ตรวจสอบภาษีย้อนหลัง จะเน้นกับผู้มีเจตนาหลีกเลี่ยงหรือกระทำความผิด เพราะหากเอกชนรายใดมุ่งหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่มจะทำให้คนไม่ดีมีต้นทุนต่ำกว่ารายอื่นร้อยละ 7 และหาโอกาสตัดราคารายอื่นจนทำให้ตลาดปั่นป่วน โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการลงทะเบียนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทำบัญชีรายเล่มเดียว จากนั้นกรมสรรพากรจะไม่ตรวจสอบการเสียภาษีย้อนหลัง 5 ปี จากความผิดครั้งที่ผ่านมาแต่หากยังมุ่งกระทำความผิดเพิ่มเติมอีก ต้องทำการตรวจสอบย้อนหลังด้วยเช่นกัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลได้เดินหน้านโยบาย E-Payment เพื่อให้ประชาชนลงทะเทียนพร้อมเพย์ผ่านสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อต้องการพัฒนาระบบบริการทางการเงินให้ก้าวหน้า แม้แต่สิงคโปร์ยังเริ่มนำระบบการใช้บัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์มือถือ มาเชื่อมโยงบริการทางการเงินเหมือนกับไทย จึงยืนยันว่าการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินต้องเดินหน้าพัฒนาให้ทันกระแสโลก แม้จะมีการแฮกเกอร์ข้อมูลธนาคารออมสิน โดยมองว่าเป็นการปล้นหรือโจรกรรมแบบสมัยใหม่ ไม่ต่างจากการปล้นธนาคารแบบใช้อาวุธ โดยสถาบันการเงินทุกแห่งต้องหาแนวทางป้องกัน
“ขณะนี้ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)และสถาบันการเงินต่างมุ่งดูแลระบบและแนวทางป้องกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชน ดังนั้นการโจรกรรมที่เกิดขึ้นกับธนาคารออมสินเป็นเพียงเหตุการณ์เดียว นโยบายพร้อมเพย์และนโยบาย E-Payment ต้องเดินหน้าต่อไป ยอมรับว่ากรณี ธปท. มีแนวทางให้สถาบันการเงินนำระบบสแกนลายนิ้วมือ แสกนม่านตา เป็นระบบรักษาความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า จึงควรนำมาพัฒนาใช้ให้มีความสะดวกเพิ่มขึ้น”นายอภิศักดิ์ กล่าว .-สำนักข่าวไทย