กรุงเทพฯ 13 ก.พ. – สอน.ยืนยันเป้าหมายเดิมจะไม่มีการเผาไร่อ้อยส่งหีบปี 2564 พร้อมใส่มาตรการช่วยเหลือ เตรียมเสนอ ครม.อนุมัติสินเชื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ดอกเบี้ยร้อยละ 1 เท่ากับเอสเอ็มอี จากปัจจุบันคิดร้อยละ 2 โดยขอรัฐชดเชยเพิ่มผ่อน 7 ปี อาจเพิ่มเป็น 10 ปี
นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เปิดเผยว่า สอน.คงเป้าหมายไม่มีอ้อยไฟไหม้ปี 2564 ซึ่งเป้าหมายนี้ตั้งในช่วงที่ประเทศไทยมีผลผลิตอ้อยฤดูการผลิตละประมาณ 90 ล้านตันอ้อยเท่านั้น แม้ขณะนี้ผลผลิตอ้อยจะเพิ่มเป็นฤดูการผลิตปีละกว่า 120 ล้านตันแล้วก็ตาม ซึ่งสถานการณ์อ้อยไฟไหม้ ล่าสุดวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562 อยู่ที่ร้อยละ 57.05 ลดลงจากช่วงเดียวกันปี 2561 ที่อยู่ในระดับร้อยละ 60.45 ลดลงร้อยละ 3.4
เลขาฯ สอน. กล่าวว่า เพื่อให้เป้าหมายไม่มีอ้อยไฟไหม้ปี 2564 เป็นไปได้ จึงเตรียมเสนอมาตรการช่วยเหลือ โดยจะเสนอกระทรวงอุตสาหกรรมให้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบขยายระยะเวลาดำเนินโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี 2559-2561 ต่อเนื่องในปี 2562-2564 โดยจัดสรรวงเงินเพิ่มอีกปีละ 2,000 ล้านบาท รวม 6,000 ล้านบาท แต่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง จากเดิมเกษตรกรผู้กู้รับภาระร้อยละ 2 ต่อปี เหลือร้อยละ 1 ต่อปี โดยภาครัฐชดเชยเพิ่มขึ้น โดยพิจารณาใช้เงินจากกองทุนสนับสนุนเอสเอ็มอีเข้ามาช่วยเหลือ เพราะถือเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีภาคเกษตรอุตสาหกรรม พร้อมพิจารณาขยายระยะเวลาการผ่อนชำระสินเชื่อจากเดิม 7 ปี อาจขยายเป็น 10 ปี ควบคู่ไปกับการลดดอกเบี้ย ซึ่งสินเชื่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เห็นชอบแล้ว
นางวรวรรณ กล่าวว่า หากไม่แก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้แล้ว เกษตรกรชาวไร่อ้อยจะกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาชุมชนรอบข้าง ขณะที่โรงงานน้ำตาลก็ไม่ต้องการอ้อยไฟไหม้เช่นกัน เพราะคุณภาพลดลง ชาวไร่อ้อยก็ถูกตัดราคาลงจากคุณภาพอ้อยที่ลดลงจากไฟไหม้ตันละ 30 บาท
นอกจากนี้ ในการประชุมร่วมกับชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลวันนี้ (13 ก.พ.) ทาง สอน.ยังเสนอมาตรการลดปัญหาอ้อยไฟไหม้ โดยระยะสั้นขอความร่วมมือให้โรงงานน้ำตาลรับอ้อยสดเข้าหีบในสัดส่วนร้อยละ 60 และอ้อยไฟไหม้ร้อยละ 40 ต่อวัน และให้มีมาตรการจูงใจ หรือส่งเสริมการตัดอ้อยสด ลดอ้อยไหม้ , ขอความร่วมโรงงานน้ำตาล สมาคมชาวไร่อ้อย และหน่วยงานในท้องถิ่นบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด
ส่วนมาตรการระยะยาว ขอความร่วมมือให้โรงงานน้ำตาลส่งเสริมชาวไร่คู่สัญญาทำแปลงอ้อยให้เหมาะสมกับการใช้เครื่องจักรอย่างครบวงจร หรือทำเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานหรือลดต้นทุนการผลิต, ขอความร่วมมือให้โรงงานน้ำตาล ส่งเสริมโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร หรือจัดทำโครงการเงินช่วยเหลือดอกเบี้ยต่ำ การค้ำประกันแบบกลุ่ม สำหรับชาวไร่อ้อยคู่สัญญารายเล็ก หรือโครงการสนับสนุนเครื่องจักรสำหรับการเกษตรครบวงจรให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ เช่น รถตัดอ้อยขนาดเล็ก เป็นต้น เบื้องต้นเสนอเครื่องตัดอ้อยที่เรียกว่า RAPTOR เข้ามาใช้แทนรถตัดอ้อยสำหรับเกษตรกรที่ไม่มีกำลังซื้อรถตัดอ้อย เพราะมีราคาถูกกว่ารถตัดอ้อยโดยมีราคาเพียงเครื่องละ 200,000-300,000 บาท และยังขอให้โรงงานน้ำตาลจัดทำแผนการลดไฟไหม้แต่ละฤดูกาลผลิตโดยความเห็นชอบของคณะอนุกรรมการบริหารส่วนท้องถิ่น
นายมนตรี คำพล ประธานสมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในอดีตผลผลิตอ้อยแต่ละฤดูกาลผลิตมีน้อยกว่า 100 ล้านตันอ้อย แต่ฤดูกาลผลิตปี 2560/2561 เพิ่มขึ้นถึง 134.5 ล้านตันอ้อย ชาวไร่อ้อยต้องประสบกับภาวะขาดแคลนแรงงานที่ใช้ในการตัดอ้อยส่งโรงงานน้ำตาล จากอดีตใช้แรงงานจากภาคอีสานตัดอ้อยภาคกลาง ต่อมาแรงงานเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมก็หันไปใช้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านได้แก่ กัมพูชา เมียนมา และลาว แต่ปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านมีการลงทุนภาคอุตสาหกรรมแรงงานบางส่วนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมเช่นกัน แรงงานที่เข้ามาทำงานในไร่อ้อยจึงลดน้อยลง จึงจำเป็นต้องเผาไร่อ้อย เพื่อช่วยกระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อย เนื่องจากมีเงื่อนเวลาเก็บเกี่ยวส่งเข้าโรงงานน้ำตาลเพื่อหีบในระยะเวลา 120 วัน ซึ่งปีที่ผ่านมาประสบปัญหาฝนตกตัดอ้อยไม่ทันมีอ้อยตกค้างในไร่ถึง 5 ล้านตันอ้อย อีกทั้งการตัดอ้อยสดแรงงานทำได้เพียง 100 กว่ามัดใน 1 วัน แต่ถ้าหากเผาด้วยไฟจะทำได้ต่อคนเพิ่มเป็นประมาณ 300 มัดต่อวัน มากกว่า 3 เท่าตัว ทั้งนี้ เกษตรกรชาวไร่อ้อยต้องการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้เช่นกัน โดยต้องการเครื่องจักรเข้ามาใช้ ต้องการสินเชื่อสนับสนุนปีละประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาทเป็นต้น
นายเลียบ บุญเชื่อง ประธานชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน กล่าวว่า ด้วยระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตอ้อยแต่ละฤดูกาลที่มีระยะเวลาจำกัดและปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เพื่อช่วยลดอ้อยไฟไหม้ เกษตรกรชาวไร่อ้อยต้องการเครื่องจักรเข้ามาเสริมในกระบวนการเก็บเกี่ยวผลผลิตอ้อย แต่ไม่ได้เหมาะสมกับทุกพื้นที่ปลูกอ้อย ต่างจากต่างประเทศที่มีรางรถไฟเข้าถึงไร่อ้อยขนส่งสะดวก ทั้งนี้ ชาวไร่อ้อยไม่ต้องการให้อ้อยไฟไหม้แต่มีความจำเป็น แต่ปัจจุบันอ้อยไฟไหม้ลดลงจากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ
นายถนอม โพธิกุล นายกสมาคมชาวไร่อ้อยเพชรบูรณ์ กล่าวว่า ชาวไร่อ้อยพยายามไม่ใช้วิธีการเผาไร่อ้อยเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตอ้อย แต่ด้วยข้อจำกัดแรงงานและระยะเวลาการเก็บเกี่ยวที่จำกัด และชาวไร่อ้อยที่นำอ้อยไฟไหม้ส่งโรงงานยังถูกตัดราคาลงตันละ 30 บาทด้วย จาก 700 บาทต่อตันอ้อยเหลือ 670 บาทต่อตันอ้อย ดังนั้น แนวทางแก้ไข คือ การนำเครื่องจักรเข้ามาช่วยในกระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อย แต่ราคาสูงคันละ 8-12 ล้านบาท ซึ่งเกษตรกรมีความสามารถจำกัดในการเป็นเจ้าของได้ จึงต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำต่อไป.-สำนักข่าวไทย