อ่างทอง 29 ม.ค.-ผู้ปกครองร้องครูโหดโรงเรียนดัง จ.อ่างทอง ใช้ฟุตเหล็กตีขานักเรียน ทนไม่ไหวเตรียมย้ายหนีไปเรียนที่อื่น พบกระทำรุนแรงบ่อยครั้ง เคยใช้ฟุตเหล็กทิ่มตาเด็กเกือบบอด
นี่เป็นภาพคลิปเหตุการณ์จากโทรศัพท์มือถือ ความยาวประมาณ 5 นาที ที่ญาติของนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.4 โพสต์ผ่านโซเชียล ร้องเรียนกับสื่อมวลชน หลังนำคลิปภาพดังกล่าวเข้าไปพุดคุยในกลุ่มรุ่นพี่และผู้ปกครองของนักเรียนดังกล่าวแล้ว ต่างเห็นว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินไป
ภาพในคลิปเป็นภาพครูคนหนึ่งกำลังยืนว่ากล่าวเด็กนักเรียนวัยประมาณ 13-15 ปี กรณีทำรถจักรยานของเพื่อนพังเสียหาย ก่อนจะขู่ว่าหากไม่นำเงินมาซ่อมจะให้ตำรวจดำเนินการ พร้อมทั้งเรียกให้ 2 ใน 3 นักเรียนยืนขึ้น ก่อนใช้ฟุตเหล็กยาวประมาณ 1 เมตร ตีที่ขาเต็มแรง คนละ 1 ที ก่อนจะตะโกนว่ากล่าวเด็กนักเรียนอีกคนในเรื่องเดียวกัน ซึ่งญาติของนักเรียนคนดังกล่าวระบุว่าเหตุเกิดเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา บริเวณหน้าห้องเรียน โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง โดยมีเด็กนักเรียนเห็นเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก
นอกจากคลิปภาพเคลื่อนไหวแล้ว ยังมีคลิปภาพรอยแผลที่ถูกตีบริเวณขาด้านซ้ายเป็นรอยแดงยาว รวมถึงการสนทนาในเฟซบุ๊กของรุ่นพี่ ญาติ และผู้ดูแลเด็ก ที่ไม่เห็นด้วยกับการลงโทษที่ทางญาติบอกว่าทำเกินกว่าเหตุในครั้งนี้ พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบพฤติกรรมของครูคนดังกล่าว รวมถึงรุ่นพี่บางคนถึงกับเอ่ยปากว่าครูคนนี้อาจไม่ชอบคนชนเผ่าที่มาเรียนหนังสือ จึงลงโทษรุนแรงแบบนี้
นอกจากนี้ยังระบุอีกว่า เหตุการณ์นี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ครั้งแรกใช้ฟุตเหล็กทิ่มตาเด็กจนเกือบบอด ครั้งที่ 2 ใช้กุญแจทุบที่ศีรษะเด็กจนเป็นแผล และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 โดยญาติของเด็กๆ ทั้งหมดได้เดินทางมารับตัวกลับไปอยู่บ้าน ก่อนที่จะส่งภาพนิ่งและวิดีโอให้กับสื่อมวลชน เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว
ญาติผู้เสียหายรายหนึ่งเปิดเผยทางโทรศัพท์ว่า การลงโทษเด็กเป็นเรื่องปกติ แต่การใช้ฟุตเหล็กตีน่าจะเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินไป ซึ่งหลายครั้งที่เกิดเหตุลักษณะนี้ แต่ผู้ปกครองไม่กล้าเอาเรื่อง ทำได้เพียงขอย้ายเด็กไปเรียนที่อื่น ซึ่งครั้งนี้ก็มีเด็กนักเรียนขอย้ายไปเรียนที่อื่นหลังจากสิ้นเทอมนี้จำนวนมาก
มีรายงานว่าหลังคลิปภาพแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ ทางคณะครูและคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนแห่งนี้ เตรียมประชุมในเรื่องดังกล่าว เพื่อหาข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้.-สำนักข่าวไทย