อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 25 ม.ค.-มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เผยสถานการณ์ผู้บริโภคประจำปี61 พบการร้องเรียนเรื่องการโฆษณาเกินจริง เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาหารเสริมมากเป็นอันดับ 1
วันนี้(24 ม.ค.)มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) รายงานสถานการณ์ผู้บริโภคประจำปี 2561 โดย มพบ.และเครือข่ายผู้บริโภค 7 ภาค ได้ให้คำปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียน จำนวน 4,545 เรื่อง โดยเรื่องที่มีผู้ร้องเรียนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือเรื่องอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ มีผู้ร้องเรียน 1,505 ราย คิดเป็นร้อยละ 33.11 ของจำนวนผู้ร้องเรียนทั้งหมด รองลงมาคือ บริการสาธารณะ มีผู้ร้องเรียน 930 ราย คิดเป็นร้อยละ 20.46 และอันดับที่สาม บริการสุขภาพและสาธารณสุข มีผู้ร้องเรียน 705 ราย คิดเป็นร้อยละ 15.51
เมื่อแยกย่อยลงไปในแต่ละหมวดจะพบว่าปัญหาอันดับ1ของหมวดอาหาร ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (1,505 ราย) คือ เรื่องโฆษณาอันเป็นเท็จ หรือหลอกลวงที่มีผู้ร้องเรียนเข้ามาถึง372 ราย โดยมักเป็นโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่อาจก่อให้เกิดอันตรายและอาหารเสริม เผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook รวมถึงสื่อหลัก โดยเฉพาะช่องเคเบิ้ลและวิทยุท้องถิ่น โดยใช้ข้ความโฆษณาที่ชวนเชื่อ เกินจริง ทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีบางกรณีที่ใช้ผลิตภัณฑ์แล้วพบว่าทำให้เกิดอันตราย เช่น ครีมทาผิวขาว ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก เป็นต้น
ส่วนหมวดบริการสาธารณะ(930ราย)ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับการขนส่งทางบกมากที่สุด มักเป็นเรื่องการชดเชยเยียวยาอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ และพฤติกรรมของพนักงานที่ไม่เหมาะสม เช่น พูดจาไม่สุภาพ สูบบุหรี่ขณะขับรถ ขับรถวาดเสียว คุยโทรศัพท์ขณะขับรถโดยไม่ใช้สมอลทอล์ก เป็นต้น ประเภทรถที่ได้รับการร้องเรียนค่อนข้างมากมี 4 ประเภท คือรถตู้โดยสาร 313 ราย รถทัวร์โดยสาร 217 ราย รถรับส่งนักเรียน 130 ราย และรถเมล์/รถโดยสารระหว่างจังหวัด 117 รายตามลำดับ
สำหรับหมวดบริการสุขภาพและสาธารณสุข(705ราย)นั้นปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นการปรึกษา เรื่องการย้าย/ สอบถามสิทธิ สิทธิประโยชน์ต่างๆ 600 ราย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังไม่รู้สิทธิต่างๆ ของตัวเองเท่าที่ควร และกลุ่มผู้บริโภคที่ประสบปัญหาด้านบริการสุขภาพและสาธารณสุข คือ ผู้ใช้สิทธิบัตรทอง เพราะนอกจากปัญหาการไม่รู้สิทธิแล้ว สิทธิบัตรทองยังเป็นกลุ่มที่มีการร้องเรียนในด้านต่างๆ เข้ามามากที่สุด เช่น ไม่ได้รับความสะดวกตามสมควร/ไม่ได้รับการปฏิบัติตามสิทธิ ได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล และถูกเรียกเก็บเงินจากการใช้สิทธิกองทุนฉุกเฉิน เป็นต้น ดังนั้นภาครัฐจึงควรเข้าไปให้คำแนะนำและให้ความรู้แก่ผู้บริโภคอย่างทั่วถึง รวมทั้งให้บริการแก่ทุกคนอย่างเท่าเทียม .-สำนักข่าวไทย