กรุงเทพฯ 2 ม.ค. – สทนช.เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมด่วน เตรียมเฝ้าระวังพายุโซนร้อนปาบึก 3-5 ม.ค.นี้ พร้อมเปิดศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ ที่ ปภ.สุราษฎร์ธานี เฝ้าระวังและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำและอุทกภัยตลอด 24 ชม.
นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะทำงานศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ ครั้งที่ 1/2562 ณ ห้องประชุมน้ำปิง ชั้น 4 อาคารจุฑามาศ สทนช. ว่า จากการประชุมและวิเคราะห์สถานการณ์ของพายุโซนร้อนปาบึกบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็ว 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนผ่านปลายแหลมญวนและเคลื่อนลงอ่าวไทยวันนี้ (2 ม.ค.) โดยจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยในพื้นที่ภาคใต้ระหว่างวันที่ 3-5 มกราคม 2562 ทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุงสงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และจังหวัดสตูล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และจังหวัดชุมพร คาดว่าจะมีฝนตกหนักประมาณ 200-300 มิลลิเมตรต่อวัน โดยจะมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ วันที่ 3 มกราคม เริ่มได้รับผลกระทบ จังหวัดพัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส วันที่ 4 มกราคม จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง วันที่ 5 มกราคม จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และหลังจากวันที่ 6 มกราคมเป็นต้นไป ปริมาณฝนจะค่อย ๆ เบาบางลง ซึ่ง สทนช.ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการเตรียมรองรับสถานการณ์เขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ โดยเขื่อนที่อยู่ในความดูแลของของกรมชลประทาน ได้แก่ เขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ปริมาณน้ำ 612 ล้าน ลบ.ม.(83%) และเขื่อนปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปัจจุบันมีปริมาณน้ำ 353 ล้าน ลบ.ม.(90%) ในส่วนของเขื่อนที่อยู่ในความดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้แก่ เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี ปัจจุบันมีปริมาณน้ำ 4,701 ล้าน ลบ.ม.(83%) สามารถรับน้ำ ได้อีก 938 ล้าน ลบ.ม และเขื่อนบางลาง จ.ยะลา ปริมาณน้ำ 1,076 (74%) รับน้ำได้อีก 378 ล้าน ลบ.ม. โดยศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติได้สั่งการให้ กฟผ.และกรมชลประทานพิจารณาเร่งการระบายน้ำในอ่างเก็บน้ำตามข้อสั่งการของพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งการให้หน่วยงานที่มีอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ภาคใต้ที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 เร่งระบายน้ำเพื่อรองรับปริมาณน้ำฝนและติดตามสภาพฝน และการระบายน้ำให้สัมพันธ์กับพื้นที่ท้ายน้ำเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวต่อว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมชลประทาน และ ปภ.ได้เตรียมรับสถานการณ์น้ำและอุทกภัยในพื้นที่ไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยได้เตรียมบุคลากรพร้อมจัดส่งเครื่องจักรเครื่องมือลงพื้นที่ไว้ล่วงหน้าแล้ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบูรณาการทำงานในพื้นที่ให้สอดคล้องกับการสั่งการในการแก้ปัญหาสถานการณ์น้ำและอุทกภัยได้โดยตรง ในวันพรุ่งนี้ (3 ม.ค.) สทนช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะลงพื้นที่พร้อมจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อติดตาม เฝ้าระวัง วิเคราะห์สภาพน้ำฝน น้ำท่า และการเคลื่อนตัวของพายุ รวมทั้งประเมินแนวโน้มสถานการณ์น้ำและอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ ตลอด 24 ชั่วโมง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อเป็นการลดผลกระทบที่อาจจะเกิดกับพี่น้องประชาชน พร้อมเตือนประชาชนให้ติดตามข่าวสารจากศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติอย่างใกล้ชิด.-สำนักข่าวไทย