กรุงเทพฯ 30 ธ.ค.-“อนุทิน” ยัน พรรคภูมิใจไทยมาถูกทางแก้ปัญหาปากท้องก่อนการเมือง-รื้อ รธน. พร้อมแจงแนวคิด “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาขน” หวังขจัดกฎหมายอุปสรรคต่อการทำมาหากินของประชาชน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงแนวคิด “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” ที่เป็นนโยบายพรรคภูมิใจไทย ว่า ไม่ใช่เป็นการไปลดอำนาจรัฐ หรือข้าราชการ แล้วไปเพิ่มอำนาจประชาชนอย่างไม่มีรูปแบบ แต่เป็นการทำสิ่งที่มีอยู่แล้วให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน คือ กฎหมาย ระเบียบต่าง ๆ ที่เคยถูกตราขึ้นในอดีต ซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ในขณะนั้น แต่ไม่เหมาะสมกับปัจจุบัน และเทคโนโลยีความก้าวหน้า ทำให้เกิดความล่าช้า เกิดการตีความ ประชาชนก็ไม่สะดวกในการรับบริการจากภาครัฐ
“เราก็นำมาแก้ไขปรับปรุง ไม่ว่าจะเป็นระบบแบ่งปันผลกำไรข้าว ปาล์ม ยาง อ้อย น้ำตาล ยกสถานะ อสม.เทียบเท่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงการทำแกร๊บคาร์ให้ถูกกฎหมายในอนาคต อย่างกรณีผู้ประกอบการแกร็บแท็กซี่ คนขับกันเต็มบ้านเต็มเมืองแล้วก็ยังบอกว่าผิดกฎหมาย เราจะไปบอกให้เขาเลิกได้มั้ย ทั้งที่เขามีโอกาสที่จะสร้างรายได้สุจริต เราควรแก้กฎหมาย หรือจะไปตัดโอกาสประชาชนหลาย ๆ หมื่นคน ดังนั้นลดอำนาจรัฐคือแก้กฎหมายให้ถูกต้อง เพิ่มอำนาจประชาชนก็คือ ให้เขาทำสิ่งที่เขาต้องการทำโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อศีลธรรม หารายได้จุนเจือครอบครัว และแก้ปัญหาปากท้อง แต่มันยังขัดต่อกฎหมาย เราก็ทำให้ถูกกฎหมาย” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าว
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า กฎหมายในปัจจุบัน สุดท้ายไปจบที่คำว่าดุลยพินิจของหน่วยงานรัฐที่เป็นต้นตอของการทุจริต การเล่นพรรคเล่นพวก เลือกที่รักมักที่ชัง ขณะเดียวกันเมื่อเพิ่มอำนาจประชาชนแล้ว ประชาชนก็ต้องให้สัญญาว่าจะต้องทำตามกฎหมาย หากฝ่าฝืน ก็ต้องมีบทลงโทษที่รุนแรง เหมือนพบกันครึ่งทาง ฝ่ายรัฐที่เข้มอยู่ทำให้ถูกบ่นตำหนิ ถูกแสดงความไม่พอใจ ก็ต้องลดถอยลงมา ฝ่ายประชาชนที่ยังขาดอยู่ ก็ต้องไปถึงจุดที่ได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ประชาชนก็จะกินดี อยู่ดี มีรายได้ ไม่ขัดแย้งต่อต้านกัน หรือเรียกร้องจากรัฐ
“การเลือกตั้งครั้งนี้ โชคดีพรรคภูมิใจไทยตั้งสโลแกนว่า “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” แล้วปรากฏว่าปัญหาปากท้อง กลายมาเป็นปัญหาใหญ่อันดับต้น ๆ จากผลโพลสำนักต่าง ๆ และเป็นปัญหาหนักกว่าเรื่องการเมือง เรื่องสีเสื้อ เรื่องรัฐธรรมนูญ เท่ากับประชาชนกับพรรคคิดตรงกัน” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าว.-สำนักข่าวไทย