กรุงเทพฯ 15 ธ.ค. – นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. ยังคงแผนการซื้อกิจการปิโตรเลียมในต่างประเทศเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงปลายปีนี้ แต่คงไม่ปรับสูงขึ้นมากไปกว่าระดับนี้มากนัก เนื่องจากยังมีแรงกดดันจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่เต็มที่และแนวโน้มการกลับเข้ามาลงทุนของกลุ่มผู้ผลิต shale oil และ shale gasในสหรัฐ หลังราคาน้ำมันดิบเริ่มมีเสถีรภาพมากขึ้น แต่ในช่วงครึ่งปีหลังของปีหน้ากำลังการผลิตน้ำมันที่ค้างอยู่ในสตอกจะเริ่มลดลงและใก้ลเคียงกับความต้องการ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดิบอาจสูงขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกได้
อย่างไรก็ตาม ปตท.มองว่าราคาน้ำมันดิบที่ระดับกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเป็นราคาที่มีเสถียรภาพและเอื้อต่อการลงทุน โดยขณะนี้ กลุ่มปตท.มีกระแสเงินสดในมือประมาณ 300,000-400,000 ล้านบาท ถือว่ามีสภาพคล่องสูง จึงต้องวางแผนบริหารจัดการการใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด และพร้อมสนับสนุนให้บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ปัจจุบันมีสถานะการเงินแข็งแกร่งมีกระแสเงินสดประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท เร่งเดินหน้าแสวงหาการซื้อกิจการ (M&A) เพิ่ม
ทั้งนี้ ปตท.สผ.อยู่ระหว่างเจรจากับผู้ผลิตหลายรายทั้งรายใหญ่และรายเล็ก โดยเน้นแหล่งปิโตรเลียมในแถบเอเชียแปซิฟิกเป็นหลัก เพราะมีความคล่องตัวในการเข้าไปลงทุนมากกว่าแหล่งปิโตรเลียมที่อยู่ไกล คาดว่าปีหน้าจะเห็นความชัดเจนในการซื้อกิจการปิโตรเลียมฯ เพิ่ม แต่จะเป็นกี่แหล่งนั้น ยังไม่สามารถประเมินได้ขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าทางธุรกิจ ซึ่งแหล่งใหม่จะต้องเป็นแหล่งที่ดีและราคาถูก รวมถึงการลงทุนธุรกิจปิโตรเลียมเป็นการลงทุนระยะยาว จึงต้องตัดสินใจวางแผนอย่างรอบคอบ
นายวิรัตน์ กล่าวว่า ส่วนการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ร้อยละ 0.25 นั้น ไม่มีผลกระทบต่อแผนการลงทุนของกลุ่ม ปตท. เนื่องจากประเมินความเสี่ยงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าไว้แล้ว และกลุ่ม ปตท.ได้บริหารความเสี่ยงด้วยการซื้อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเก็บไว้บางส่วน เพื่อลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน.-สำนักข่าวไทย