กรุงเทพฯ 29 พ.ย.-องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ จับมือ ม.หอการค้าไทย มูลนิธิเพื่อคนไทย และภาคี ทำโพลต้านโกง รับเลือกตั้ง
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มูลนิธิเพื่อคนไทย จัดการประชุมความร่วมมือภาคีเครือข่ายร่วมขยายผล “โพลต้านโกง” มีภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งเครือข่ายวิชาการ เครือข่ายคนรุ่นใหม่ เครือข่ายสื่อ และเครือข่ายประชาชน จัดทำ “โพลต้านโกง” และขยายผล เข้าร่วมประชุมหารือและแถลงข่าวร่วมกัน
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) พยายามจะสร้างพลังประชาชนให้เกิดการตื่นรู้สู้โกง และออกมารณรงค์ เพื่อจะต่อต้านคอร์รัปชันในภารกิจหลาย ๆ เรื่อง ในโอกาสที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นปี 2562 จึงคิดว่าทำอย่างไรจะทำให้เสียงของประชาชนในเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันถูกรับฟังโดยพรรคการเมืองต่าง ๆ และนำไปจัดทำเป็นนโยบายแนวปฏิบัติ ดังนั้นในการเลือกตั้งปี 2562 น่าจะถึงเวลาที่พรรคการเมืองไทยควรมีนโยบายด้านการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจัง และเป็นโอกาสของพรรคการเมืองด้วยที่จะใช้จังหวะนี้ประกาศเป็นนโยบายหาเสียงช่วงเลือกตั้ง
“เป็นโอกาสสำคัญของประชาชนที่จะสามารถสะท้อนเสียงตัวเองออกไปในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศว่ามีความต้องการให้พรรคการเมืองและนักการเมืองไทยดำเนินการเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างไร ผ่านโพลที่ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยดำเนินการ โดยพร้อมจะแถลงผลโพลในวันที่ 20 ธันวาคม 2561 เพื่อให้ทันกับที่พรรคการเมืองต่าง ๆ จะนำไปพัฒนาเป็นนโยบายในการหาเสียง แต่สำคัญกว่านั้นคือ จะต้องทำจริงตามสัญญาด้วย หลังพ้นช่วงเลือกตั้ง” นายประมนต์ กล่าว
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า “โพลต้านโกง” หรือ โครงการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันของพรรคการเมืองและนักการเมืองไทยในการเลือกตั้ง 2562” มีประชากรเป้าหมายเป็นประชาชนทั่วไป ขนาดตัวอย่างไม่น้อยกว่า 3,000 ตัวอย่าง โดยมีสัดส่วนกลุ่มที่จะได้มีโอกาสเลือกตั้งครั้งแรกกับกลุ่มที่เคยเลือกตั้งมาแล้ว คิดเป็นสัดส่วน 1: 6 กระจายตัวอย่างทั่วประเทศ เกี่ยวกับความคาดหวังต่อการขับเคลื่อนงานต่อต้านคอร์รัปชันของพรรคการเมืองและนักการเมือง ในด้าน 1.การขับเคลื่อนนโยบายระดับประเทศ 2.การขับเคลื่อนการทำงานของพรรคการเมือง และ 3.การปฏิบัติตนของนักการเมือง ระยะเวลาโครงการ 30 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน-15 ธันวาคม 2561 และยังมีการสำรวจในช่องทางออนไลน์ ผ่านเวบไซต์ www.แจกการบ้านนักการเมืองต้านโกง.com ในช่วงวันที่ 1-14 ธันวาคม 2561 คาดว่าจะได้จำนวนประชากรเป้าหมายอย่างน้อย 5,000 คน โดยจะมีการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารเพื่อให้เกิดการกระจายโพลออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ผ่านช่องทางออนไลน์ของภาคีเครือข่ายต่าง ๆ คาดว่าจะสามารถรวมเสียงของประชาชนได้ไม่น้อยกว่า 8,000 ตัวอย่าง ถือเป็นจำนวนที่มีความน่าเชื่อถือในทางสถิติ
“จากผลสำรวจล่าสุดของปีนี้ พบว่าประชาชนร้อยละ 99 ไม่ทนต่อการคอร์รัปชัน กับร้อยละ 86 บอกว่าพร้อมจะมีส่วนร่วมในการป้องกันต่อต้านการทุจริต โพลต้านโกงนี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะไปเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้เป็นเจ้าของประเด็นต่อต้านคอร์รัปชันตั้งแต่แรก และหากพรรคการเมืองรับข้อเสนอของผลโพลไปเป็นนโยบาย ย่อมเท่ากับว่าสังคมไทยเกิดนโยบายการแก้ปัญหาคอร์รัปชันในระบบมาจากการฟังเสียงประชาชน” นางเสาวณีย์ กล่าว
นายวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทย กล่าวว่า ด้วยกระบวนการของโพลต้านโกงมีหลายขั้นตอน การจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือของหลายองค์กร เริ่มจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ผู้มีพันธกิจหลักในการสร้างเสริมพลังประชาชนร่วมต้านโกง และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านเครื่องมือสำรวจวิจัย ขณะที่มูลนิธิเพื่อคนไทยจะมุ่งเน้นเชื่อมโยงภาคีเครือข่ายให้เข้ามาช่วยกันขยายผลโพล เพื่อให้กระบวนการต่าง ๆ สมบูรณ์ขึ้น โดยต้องอาศัยภาคีเครือข่ายจำนวนมาก ช่วยกันกระจายเสียงของประชาชนที่โพลรวบรวมไว้สู่สาธารณะ แล้วให้พรรคการเมืองนำไปเป็นนโยบาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาคีกลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้แก่ สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น, แฮนด์ วิสาหกิจเพื่อสังคม, ทูลมอโร, วายน็อต, โอเพ่นดรีม, สยามอาสา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีภาคีวิชาการและสื่อมวลชน ตลอดจนผู้นำจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่จะช่วยขยายผลในช่องทางโซเชียลมีเดียส่วนบุคคล อีกจำนวนมาก
“กระบวนการทำงานนำไปสู่ผลลัพธ์ ไม่ได้จบแค่ผลโพล ยังมีเรื่องการติดตามพันธสัญญานักการเมืองอย่างต่อเนื่อง หลังเลือกตั้ง เครือข่ายภาคประชาชนร่วมขยายผลใน 3 ด้าน ได้แก่ 1.ช่วยแชร์โพลออนไลน์ให้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด ในช่วงวันที่ 1-14 ธันวาคม 2.ร่วมกระจายผลโพล หรือข้อเสนอของประชาชนในวงกว้างในรูปแบบต่าง ๆ อาจเป็นเวทีสาธารณะ หรือกิจกรรมอื่นใด ให้เกิดพันธะสัญญาสู้โกงของพรรคการเมือง ในช่วงมกราคมและกุมภาพันธ์ ก่อนการเลือกตั้ง 2562 และ 3.ร่วมติดตามตรวจสอบคำสัญญานักการเมืองอย่างต่อเนื่องหลังเลือกตั้ง” นายวิเชียร กล่าว.-สำนักข่าวไทย