ชุมพร 20 ส.ค. – คลังติดตามความคืบหน้าแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ หนุนศูนย์เรียนรู้และธนาคารต้นไม้ ธ.ก.ส.จังหวัดชุมพร
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ดร.นฤมล สะอาดโฉม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง และคณะ เยี่ยมชมการดำเนินงานแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบผ่านองค์กรการเงินชุมชน การจัดทำเมนูอาชีพสนับสนุนการสร้างรายได้เพิ่มให้ผู้มีรายได้น้อย พร้อมติดตามการดำเนินงานธนาคารต้นไม้ ณ ศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) บ้านพะงุ้น ต.ครน อ.สวี จ.ชุมพร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของเกษตรกรอย่างยั่งยืน โดยมีนายสมภพ รอดกลาง ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาขาภาคตะวันตก นายภูรินทร์ พรหมอักษร ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาขาภาคใต้ตอนบน ผู้บริหารและพนักงานในพื้นที่จังหวัดชุมพรให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ การดำเนินงานช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบของ ธ.ก.ส. ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2561 มีผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบ 525,455 ราย ยอดเงินสนับสนุนสินเชื่อ 40,920.49 ล้านบาท ส่วน ธ.ก.ส. ชุมพรมีผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบ 1,213 ราย สนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาอาชีพแล้ว 64.28 ล้านบาท โดยมีการเชื่อมโยงกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ เพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้ผู้มีรายได้น้อย เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชนส่งเสริมคุณภาพไม้ผลตำบลพะโต๊ะ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกล้วยฉาบทุ่งคาวัด เป็นต้น
สำหรับศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ธ.ก.ส. บ้านพะงุ้น ต.ครน อ.สวี จ.ชุมพร มีการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ โดยองค์กรการเงินชุมชนบ้านประสานมิตร ซึ่งมีการพัฒนาแบบพึ่งพาตนเอง โดยใช้เงินทุนที่มาจากเงินฝากสัจจะออมทรัพย์และค่าหุ้นสมาชิก รวมทั้งเงินประเภทต่าง ๆ มาใช้ในการบริการด้านสินเชื่อ และการตลาดแก่สมาชิกในชุมชนและบุคคลทั่วไป ทั้งยังมีการดำเนินงานธนาคารต้นไม้ที่มีประสิทธิภาพ ชาวบ้านในชุมชนปลูกต้นไม้ในที่ดินของตนเองเป็นการสร้างพื้นที่สีเขียว พร้อมขึ้นทะเบียนต้นไม้ประเภทต่าง ๆ ตามโครงการธนาคารต้นไม้ เพิ่มโอกาสในการออมเงินผ่านการปลูกและดูแลต้นไม้สร้างรายได้ให้กับชุมชน และช่วยสนับสนุนผู้ที่มีรายน้อยด้วยการจ้างงานที่ศูนย์เรียนรู้ฯ เสริมสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง โดยผลการดำเนินงานธนาคารต้นไม้บ้านพะงุ้นมีสมาชิก 87 คน จำนวนต้นไม้ที่ปลูก 16,667 ต้น ตรวจสอบและประเมินมูลค่าต้นไม้ 13,761 มูลค่าต้นไม้ประมาณ 31 บาท มูลค่าต้นไม้เฉลี่ยต้นละ 2,248 บาท
นายวิสุทธิ์ กล่าวกรณีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 ขยายตัวร้อยละ 4.6 และครึ่งปีแรกขยายตัวร้อยละ 4.8 ว่า รัฐบาลต้องการขับเคลื่อนให้ชาวบ้านรายย่อยมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจเติบโตเฉพาะด้านบนเพียงอย่างเดียว เช่น หากการส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มจำนวนมากจะทำให้สินค้าเกษตรสำคัญหลายส่วนส่งผลไปยังเกษตรกร รวมถึงการช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การรักษาพยาบาล 30 บาทรักษาทุกโรค ผู้ถือบัตรไม่ต้องจ่ายเงิน 30 บาท และชาวบ้านสามารถเติมเงินเพิ่มเข้าไปยังบัตรสวัสดิการฯ จะสามารถได้รับประโยชน์จากการหักคืนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านร้านค้าสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถมีเงินหมุนเวียนต่อเดือนเพิ่มขึ้น ทำให้ครึ่งปีหลังกำลังซื้อของรายย่อยผลักดันให้การบริโภคเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องเดินหน้าแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เพื่อลดต้นทุนให้กับเกษตรกร ส่วนผู้สูงอายุได้เบี้ยยังชีพ 600-700 บาทต่อเดือน รัฐบาลพร้อมเติมให้อีก 50-100 บาท ทำให้มีรายได้เพิ่มในการใช้จ่าย.-สำนักข่าวไทย