กทม.23 มี.ค. – ลูกไม้ใหม่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกเหยื่อรวมเป็นบัญชีเดียว ก่อนหลอกเอารหัสลับ (otp) ถอนเงินจากบัญชีในต่างประเทศผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผูบ.ตร. พร้อม พล.ต.อ.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบช.ทท. ร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสถาบันการเงิน คืนเงินให้ผู้เสียหายจากถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกครั้งที่ 9 โดยเป็นผู้เสียหายในพื้นที่ สภ.ถลาง และ สภ.กะรน จ.ภูเก็ต 2 คน สน.พหลโยธิน 2 คน และ สภ.เมืองนนทบุรี 1 คน รวมจำนวนเงินกว่า 860,000 บาทในจำนวนนี้ เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายได้เต็มจำนวนถึง 3 คน
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งในและนอกประเทศ เช่น มาเลเซีย กัมพูชา ล่าสุดคือเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สามารถจับผู้ต้องหาคนไทย 23 คน และไต้หวัน 1 คน จากการสืบสวนทราบว่าส่วนใหญ่แก๊งนี้จะมีหัวหน้าเป็นชาวไต้หวันว่าจ้างคนไทยให้เปิดบัญชี และทำหน้าที่เป็นม้ากดเงินให้
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เพิ่มเติมว่า จากการสืบสวนพบว่า เมืองดูไบ เป็นสถานที่ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์มักจะเลือกใช้เป็นฐานปฏิบัติการ ถึงกว่าร้อยละ 60 เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความทันสมัยของเทคโนโลยี ง่ายและสะดวกในการก่อเหตุ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ยังตรวจสอบได้ยาก หลังจากนี้จะประสานกับเอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประจำประเทศไทย หารือแนวทางแก้ปัญหาอย่างเป็นทางการ
ด้านนายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการกองคดี 1 ในฐานะรองโฆษกประจำสำนักงาน ปปง. ยอมรับว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการพัฒนารูปแบบการหลอกลวงให้มีความซับซ้อนและตรวจสอบยากมากขึ้น เช่น การหลอกให้ผู้เสียหายเปิดบัญชีใหม่ แล้วนำเลขบัญชีไปเปิดใช้งานผ่านระบบเอ็มแบงก์กิ้ง ก่อนจะให้ผู้เสียหายโอนเงินจากบัญชีเก่าเข้าบัญชีใหม่ และแก๊งนี้จะโอนเงินต่อจากเอ็มแบงก์กิ้งเข้าสู่บัญชีของตน
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินคืนผู้เสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ 71 คน จำนวนเงินกว่า 13 ล้านบาท ขณะที่สถิติการรับแจ้งเหตุของศูนย์ป้องก้นและปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่ 8 ธ.ค.60 -22 มี.ค.61 จำนวน 408 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 200 ล้านบาท.-สำนักข่าวไทย