สวิตเซอร์แลนด์1มี.ค.-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยันรัฐบาลประกาศให้เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมออกมาตรการสิทธิมนุษยชนเชิงบวกหลายเรื่อง เพื่อให้บรรลุผลที่ยั่งยืน ย้ำถ้อยแถลงไทยเน้นสมดุล
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ขึ้นกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งชาติประชาชาติ (เอชอาร์ซี) ครั้งที่ 37 ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยได้มีการแบ่งปันความเห็นใน 2 ด้านในโอกาสครบรอบ 70 ปี ของปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน(ยูดีเอชอาร์)คือการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในประเทศ ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติค.ศ. 2030 ควบคู่กับการให้การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ไทยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และได้มีการนำเอาประเด็นสิทธิมนุษยชนมาผนวกเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาของประเทศ ซึ่งยึดโยงกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการที่ประชาชนต้องเป็นศูนย์กลาง ด้วยเหตุผลดังกล่าว เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้กำหนดให้ประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติเป็นครั้งแรก โดยเชื่อมโยงเข้ากับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และความพยายามของรัฐบาลที่จะดำเนินการเพื่อให้บรรลุผลในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน รัฐบาลดำเนินมาตรการต่างๆ รวมถึงการปฏิรูปกฎหมาย ทั้งยังตั้งเป้าที่จะพัฒนา นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าซึ่งปัจจุบันครอบคลุมประชากรเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ของไทย นอกจากนี้รัฐบาลยังได้จัดทำโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งทำให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยกว่า 11 ล้านคนได้ประโยชน์
นายดอนกล่าวว่า ไทยยังได้ออกกฎหมาย อาทิ พระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 ,พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560,พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2560,พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2560,และพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสําหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.2560อีกทั้งกำลังยกร่างพระราชบัญญัติการป้องกันและขจัดการใช้แรงงานเกณฑ์หรือแรงงานงานบังคับ ซึ่งจะช่วยป้องกันแรงงานบังคับรวมถึงปกป้องแรงงานในอุตสาหกรรมประมง ขณะที่เมื่อสัปดาห์ก่อน คณะรัฐมนตรีก็ได้รับรองร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อเพิ่มพูนโอกาสทางการศึกษาสำหรับทุกคนคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทยซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานยังได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการและประเมินสภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ เพื่อประเมินผลกระทบที่เป็นไปได้ของโครงการขนาดใหญ่ที่มีต่อชุมชนและประชาชน ทั้งนี้รัฐบาลไทยยังได้ดำเนินการอย่างแข็งขันในการยุติสถานะบุคคลไร้รัฐภายในปีค.ศ. 2024 โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อปี 2558 เพื่อปูทางไปสู่การให้สถานะทางกฎหมาย รวมถึงความเป็นพลเรือนกับเด็กชนเผ่าที่ถือเป็นคนไร้รัฐราว 110,000 คน นอกจากนี้ประเทศไทยยังทำงานเกี่ยวกับระบบในการตรวจสอบผู้อพยพและผู้ลี้ภัยที่ไร้เอกสารเพื่อรับรองว่าความต้องการพื้นฐานของพวกเขาจะได้รับการปกป้อง
นายดอนกล่าวว่า รัฐบาลยังได้สรุปแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฉบับที่ 4 (2562-2566) เพื่อจัดการกับปัญหาท้าทายทั้งด้านสิทธิมนุษยชนอาทิการเข้าถึงที่ดินและทรัพยากร รวมถึงการให้การปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ซึ่งจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับภาคเอกชนอย่างครอบคลุมมากขึ้นในการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตอบสนองเป้าหมายในการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง70 ปีในการลงนามยูดีเอชอาร์ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับเราซึ่งไทยอยากจะขอแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการทำงานในอนาคตทั้งเรื่องการทำงานเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนต้องไม่ถูกมองว่าเป็นเพียงงานของรัฐบาลเท่านั้นแต่เป็นงานของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคการศึกษาไปจนถึงสื่อ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เปราะบาง รวมถึงต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันและปกป้องมากกว่าการเยียวยา และต้องให้การรับรองว่าทุกคนโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจะตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชนในการปฎิบัติหน้าที่ พวกเขาเหล่านั้นจะต้องให้การเคารพอย่างเต็มที่ในเรื่องสิทธิมนุษยชนและไม่ใช้อำนาจในทางที่ผิด และเรื่องการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนต้องเริ่มต้นตั้งแต่ใกล้ตัวเรา จากที่บ้าน ครอบครัวไปสู่โรงเรียน ชุมชน สถานที่ทำงาน และสภาพแวดล้อมสังคมต่างๆ
นายดอนกล่าวว่าปัจจุบันโลกยุคดิจิทัลทำให้การสื่อสารกันเป็นเรื่องง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการก่ออาชญากรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็เกิดได้ง่ายขึ้นเช่นเดียวกัน ขณะที่โซเชียลมีเดียช่วยเชื่อมต่อพวกเราเข้าไว้ด้วยกันเราจำเป็นต้องทำให้มั่นใจว่ามันจะไม่กลายเป็นเครื่องมือในการแพร่กระจายความเกลียดชังและความแตกแยก และขณะที่เสรีภาพในการแสดงออกเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการพัฒนาและนวัตกรรม แต่เราต้องใช้เสรีภาพนั้นด้วยความเคารพต่อสิทธิและชื่อเสียง ด้วยการตระหนักรู้ในความผิดชอบชั่วดี ความมีศีลธรรม และต้องไม่ละเมิดสิทธิรวมถึงผลประโยชน์ของผู้อื่นเพื่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงในสังคม ขณะที่สิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการเรียกร้องให้ผู้อื่นเคารพสิทธิของเราแต่เกี่ยวกับการทำตัวเราให้น่าเชื่อถือผ่านคำพูดและการกระทำซึ่งจะทำให้สิ่งที่ถือเป็นคุณค่าและหลักการที่ปรากฎในยูดีเอชอาร์ถูกนำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง นอกจากนี้เราจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลไกด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติเพื่อให้ตอบสนองเป้าหมายและทำงานได้อย่างสร้างสรรค์ รวมถึงทำให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ต้องการเห็นกลไกของสหประชาชาติที่ทำงานสอดประสานกันได้อย่างแท้จริง ต้องการเห็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเป็นที่แห่งการพูดคุยที่สร้างสรรค์และจริงจัง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจะต้องมีทัศนคติและมุมมองแบบองค์รวมซึ่งมีเป้าหมายเพื่อการแก้ไขสิ่งท้าทายในยุคสมัยของเราเพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาที่ยั่งยืน.-สำนักข่าวไทย