กรุงเทพฯ 20 ก.พ.-จากกรณีอุ้มบุญเด็ก 13 คน ของนายชิเกตะ มิตซูโตกิ ชายชาวญี่ปุ่น ล่าสุดวันนี้ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางพิพากษายกเด็กทั้ง 13 คน ให้อยู่ในความดูแลของนายชิเกตะ แต่เพียงผู้เดียว
ต่อสู้นานกว่า 4 ปี ที่สุดศาลให้เด็กทั้ง 13 คน ที่เกิดจากการอุ้มบุญ เป็นของนายชิเกตะ มิตซูโตกิ ชาวญี่ปุ่น โดยชอบตามกฎหมาย หลังพบไม่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์และพร้อมเลี้ยงดู เนื่องจากร่ำรวยติดอันดับ 5 ของโลก เป็นประธานบริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น
คดีนี้เป็นข่าวโด่งดังปลายปี 2557 ตำรวจบุกตรวจคอนโดฯ ย่านลาดพร้าว พบเด็กอายุ 1 ขวบ 9 คน และพี่เลี้ยงชาวไทย ตรวจพบเด็กทุกคนเกิดจากน้ำเชื้อของนายชิเกตะ วัย 24 ปี มีประวัติเข้าออกไทยมากกว่า 65 ครั้งในรอบ 2 ปี สันนิษฐานอาจเอี่ยวกับกระบวนการค้ามนุษย์ เพราะตรวจสอบพบเด็กอีก 4 คน อยู่กับแม่อุ้มบุญชาวไทยตามจังหวัดต่างๆ และก่อนหน้านี้ ชิเกตะ นำเด็กอุ้มบุญออกนอกประเทศแล้ว 6 คน รวมทั้งหมด 19 คน อ้างอุ้มบุญเพราะอยากมีลูกไว้สืบทอดธุรกิจ
เดือนธันวาคม 2559 ชิเกตะ ยื่นต่อศาลขอเด็กทั้ง 13 ราย ที่อยู่ในความดูแลของ พม.คืน จนกันยายน 2560 ศาลนัดสืบพยาน ตรวจพันธุกรรม พบเป็นพ่อเด็กจริง ไม่เข้าข่ายค้ามนุษย์ และเห็นว่าเด็กอยู่กับครอบครัวจะมีพัฒนาการดีกว่าอยู่สถานสงเคราะห์
ปัจจุบัน เด็กทั้ง 13 คน อายุ 3-4 ปี เป็นชาย 8 หญิง 5 คน อยู่ที่สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด 12 คน และสถานสงเคราะห์บ้านเวียงพิงค์ 1 คน ทุกคนมีพัฒนาการดีสมวัย ที่ผ่านมานายชิเกตะ ดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและส่งครูมาสอนภาษาญี่ปุ่น ขณะที่ย่าของเด็กมาเยี่ยมทุกเดือน ส่วนการส่งเด็ก 13 คน คืนสู่อ้อมอกพ่อ อยู่ระหว่างประสาน ส่งพี่เลี้ยงมาสร้างความคุ้นเคยก่อน จากนั้นจะส่งมอบเด็กให้ คาดใช้เวลาอย่าง 1 สัปดาห์ กว่าจะคุ้นชิน
ปัญหาอุ้มบุญโดยพ่อต่างชาติรายนี้ แม้คลี่คลายและจบลงด้วยดี คืนเด็กให้พ่อที่แท้จริง จากนี้ไปหวังว่าการบังคับใช้ตาม พ.ร.บ.เทคโนโลยีช่วยการเจริญ จะจริงจังและเข้มงวด เพื่อวางกรอบไม่ให้ไทยถูกเป็นเป้าทั้งการค้ามนุษย์ และการอุ้มบุญเพื่อการพาณิชย์ในกลุ่มต่างชาติ.-สำนักข่าวไทย