กรุงเทพฯ 4 ก.พ.- รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แนะ นายกรัฐมนตรีแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด พร้อมหยุดสภาวะขาลงที่เกิดจากปัญหาความไม่โปร่งใส การสืบทอดอำนาจ ความเชื่อมั่น และปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชน
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า เป็นเรื่องปกติที่การทำงานในปีท้ายๆของรัฐบาลจะอยู่ในช่วงขาลงว่า รัฐบาลอาจจะอยู่ในช่วงขาลงหรือขาขึ้นได้ก็ขึ้นอยู่กับการทำงานของรัฐบาล หากรัฐบาลทำงานดีมีผลงาน ประชาชนก็จะให้การสนับสนุน ทำให้รัฐบาลอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่หากรัฐบาลทำงานไม่ดี ผลงานไม่เข้าตาประชาชน ก็จะทำให้รัฐบาลอยู่ในช่วงขาลงได้
นายองอาจ กล่าวอีกว่า เมื่อพิจารณาปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลอยู่ในช่วงขาลง น่าจะมาจากสาเหตุสำคัญ 4 ประการคือ ปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใส ซึ่งรัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์มาเป็นระยะ จากความพยายามหาประโยชน์จากโครงการต่างๆ จนเป็นเชื้อไฟลามทุ่ง เมื่อประชาชนจับจ้องมาที่เรื่องนาฬิกา และปัญหาเรื่องการสืบทอดอำนาจ ซึ่งแต่เดิม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงตนอยู่ในสถานะกรรมการ ใช้ระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน ปรับเปลี่ยนประเทศให้ดีขึ้น แต่เมื่อมีความพยายามใช้กลไกต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาผ่านแม่น้ำ 5 สาย ประกอบกับการเคลื่อนไหวของพลเอกประยุทธ์ ที่รุกหนักในทางการเมืองมากขึ้น ทำให้สถานะของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นทั้งกรรมการ และผู้เล่นในสนามการเมืองไปพร้อมกัน ส่งผลให้ถูกมองถึงการสืบทอดอำนาจที่ชัดเจนขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี เข้ามามีอำนาจใหม่ๆ ได้ประกาศเรื่องการปฏิรูปประเทศ เรื่องการปรองดองของคนในชาติ แต่เวลาผ่านมาเกือบ 4 ปี การปฏิรูปไม่สามารถสัมผัสได้ โดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปสังคมลดความเหลื่อมล้ำ ในขณะที่การปฏิรูปการเมืองก็มีวิธีการใหม่ในรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า จะตอบโจทย์เรื่องปฏิรูปการเมืองได้หรือไม่ ในขณะที่เรื่องการปรองดอง ก็ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม ทำให้ความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาหลัก ของประเทศลดลง ขณะเดียวกัน การเลือกตั้งที่ถูกเลื่อนมาตามลำดับ ก็ทำให้ความน่าเชื่อมั่นในตัวพล.อ.ประยุทธ์ลดลง หลังจากประกาศครั้งแรก เมื่อ 31 พฤษภาคม 2557 จะใช้เวลาราว 1 ปี จะเริ่มเข้าสู่การเลือกตั้ง จากนั้นเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 ประกาศที่ประเทศญี่ปุ่นว่า เตรียมแผนการเลือกตั้งสิ้นปี 2558 หรือต้นปี 2559 ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2558 พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวระหว่างการหารือกับเลขาธิการสหประชาชาติว่า คาดว่าจะประกาศเลือกตั้งกลางปี 2560 และเมื่อเดินทางไปพบนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็ประกาศอีกครั้งว่า จะเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561 จนมาถึงการใช้กลไกแม่น้ำ 5 สาย คือ สนช.ขยายเวลาบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ออกไปอีก 90 วัน ทำให้กำหนดวันเลือกตั้ง จะอยู่ที่ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2562 ซึ่งมองว่า การเลื่อนการเลือกตั้งมาตามลำดับ ทำให้ความเชื่อมั่นลดลงตามสมควร นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการแก้ไขเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ที่ถึงแม้รัฐบาลจะระบุว่า เศรษฐกิจโดยรวมดี แต่ความจริงนั้น เศรษฐกิจยังฝืดเคือง
นายองอาจ กล่าวว่า จากสาเหตุทั้ง 4 ประการที่ทำให้เกิดปัญหาส่งผลให้รัฐบาลและ คสช. อยู่ในสภาวะขาลง หากนายกรัฐมนตรีทบทวน และหาวิธีการแก้ไข ก็อาจจะมีส่วนช่วยให้สภาวะขาลงเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ แต่หากปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามกลไกอำนาจต่างๆ โดยไม่ยอมแก้ไขก็ย่อมทำให้กลายเป็นสภาวะขาลงมากยิ่งขึ้น จึงอยากเห็นนายกรัฐมนตรีแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด และหยุดสภาวะขาลง เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ด้วยดีเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมต่อไป.- สำนักข่าวไทย